โรคไลม์ (Lyme disease)
อาจารย์ ดร.ทนพ. เมธี ศรีประพันธ์ ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล |
|
31,519 ครั้ง เมื่อ 1 วันที่แล้ว | |
2019-07-24 |
ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ปี 2562 ที่ผ่านมา มีการนำเสนอและแชร์ข่าวเกี่ยวกับโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งที่ปัจจุบันหรือในอดีตแทบจะไม่เคยได้ยินข่าวหรือรายงานการระบาดของโรคนี้ในประเทศไทยเลย โดยโรคนี้มีแมลงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “เห็บ” (คนไทยจะคุ้นเคยกับชื่อแมลงชนิดนี้เป็นอย่างดี เนื่องจากแมลงชนิดนี้สามารถพบได้ในสัตว์เลี้ยงที่มีความใกล้ชิดกับคน เช่น สุนัขหรือแมว) เป็นพาหะในการนำเชื้อมาสู่คน ซึ่งโรคที่จะกล่าวถึงในบทความเรื่องนี้คือโรคไลม์ (Lyme disease) นั่นเอง
โรคไลม์ (Lyme disease) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายเกลียวสว่าน ชื่อว่า Borrelia burgdorferi (บอร์รีเลีย เบริ์กโดเฟอรี่) ซึ่งพาหะที่สำคัญในการนำโรคมายังคนคือตัว “เห็บ” ปกติเชื้อชนิดนี้จะทำให้เกิดการติดเชื้อในสัตว์ โดยสัตว์ที่เป็นแหล่งกักตุนเชื้อโรคหรือรังโรคที่สำคัญได้แก่ สุนัข แมว ม้า กวาง วัว ควาย หนู เป็นต้น เมื่อเห็บไปดูดเลือดสัตว์เหล่านี้และไปกัดสัตว์อื่นๆ หรือกัดคนเพื่อดูดเลือดทำให้มีโอกาสที่จะแพร่เชื้อ ส่งผลให้สัตว์หรือคนที่ถูกกัดเป็นโรคได้ ส่วนใหญ่การระบาดของโรคนี้จะอยู่ในพื้นที่ของประเทศแถบอเมริกา ยุโรปและออสเตรเลีย
สำหรับประเทศไทย ยังไม่เคยมีรายงานการระบาดและรายงานผู้ป่วยโรคไลม์ มาก่อนในอดีต อย่างไรก็ตามเคยมีการศึกษาวิจัยในประเทศไทยแสดงให้เห็นว่า สามารถตรวจพบแอนติบอดีรวมถึงสารพันธุกรรมของเชื้อก่อโรคไลม์ในสุนัข แต่ไม่พบเชื้อในตัวเห็บที่เก็บมาจากสุนัขที่ถูกนำไปศึกษาในงานวิจัยดังกล่าว (
ที่ 4) สำหรับผู้ป่วยคนไทยที่มีรายงานการติดเชื้อครั้งนี้เป็นผู้ที่มีประวัติการเดินทางไปต่างประเทศที่เป็นแหล่งระบาดของโรคดังกล่าวและอาจถูกเห็บกัดทำให้ได้รับเชื้อมา ซึ่งยืนยันจากการตรวจพบแอนติบอดีต่อเชื้อดังกล่าวในเลือด อาการที่พบ บริเวณที่ถูกเห็บกัดจะมีลักษณะแผลเรียบสีแดง และขยายวงกว้างออกไป โดยมีชื่อเรียกลักษณะที่เกิดขึ้นว่า erythema migrans (ดังภาพที่ 1) นอกจากนี้อาจมีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ต่อมาอีกนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน อาจมีอาการปวดทางข้อ อาการทางระบบประสาท อาจเกิดการอัมพาตหรือการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อซีกใดซีกหนึ่งของใบหน้า รวมถึงมีภาวะใจสั่น เจ็บหน้าอก หายใจตื้น ถ้าไม่มีการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจส่งผลทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้แก่ ปวดหัวรุนแรง ปวดข้อ เอ็น กล้ามเนื้อและกระดูกอย่างรุนแรง ส่งผลให้การเคลื่อนไหวผิดปกติ นอกจากนี้อาจมีปัญหาด้านการรับรู้ การจดจำ การพูด และอารมณ์แปรปรวนตามมาได้ รวมถึงมีโอกาสที่จะเกิดภาวะผิดปกติที่หัวใจและปอดร่วมด้วย ซึ่งถ้ามีอาการรุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้ การวินิจฉัย แพทย์จะวินิจฉัยโรคจากการตรวจร่างกาย ซักประวัติการเดินทางไปพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคไลม์ รวมถึงประวัติการสัมผัสสัตว์ที่เป็นแหล่งรังโรค นอกจากนี้ผู้ที่สงสัยการติดเชื้อจะถูกตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดี (สามารถตรวจได้ภายใน 3-6 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อ) รวมถึงอาจใช้วิธีตรวจโดยใช้เทคนิคทางอณูชีววิทยาเข้าร่วมด้วย ถ้าผู้ป่วยมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดข้อหรืออาการทางระบบประสาท จะมีการประเมินภาวะดังกล่าวเพื่อประกอบการวินิจฉัยร่วมด้วย การรักษา ถ้าผู้ป่วยได้รับการรักษาที่รวดเร็วจะทำให้สามารถฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังลดโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเช่น Doxycycline, Amoxicillin หรือ Ceftriaxone เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการติดตามอาการรวมถึงเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนระหว่างและภายหลังการรักษาเช่นกัน การป้องกัน
ยาแก้ไอ ... มีกี่แบบ ?? 40 วินาทีที่แล้ว | |
เกิร์ด (GERD) - โรคกรดไหลย้อน 1 นาทีที่แล้ว | |
โรคสมาธิสั้นในเด็ก: การรักษาด้วยยา 1 นาทีที่แล้ว | |
น้ำเกลือแร่สำหรับท้องเสีย: เลือกที่ใช่ ใช้ถูกต้อง 2 นาทีที่แล้ว | |
บริหารกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว..ลดปวดหลัง ลดโอกาสหกล้ม 2 นาทีที่แล้ว | |
ยาดมมีอันตรายหรือไม่ 2 นาทีที่แล้ว | |
ยาเลื่อนประจำเดือน .. ที่นี่มีคำตอบ 2 นาทีที่แล้ว | |
เทมเป้ (Tempeh) อาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพ 2 นาทีที่แล้ว | |
ยารักษาสิว isotretinoin อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม 3 นาทีที่แล้ว | |
ยาใหม่สำหรับรักษาโรคไมเกรน 4 นาทีที่แล้ว |
|
HTML5 Bootstrap Font Awesome