จากข้อมูลในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของการตั้งครรภ์นั้นเกิดขึ้นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจมาก่อน โดยปกติแล้วหญิงตั้งครรภ์จะทราบว่าตนเองมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นจะเป็นช่วงเวลาสัปดาห์แรกหลังจากที่เกิดการปฏิสนธิขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อวัยวะสำคัญ ๆ กำลังสร้างหรือเกิดการพัฒนาขึ้นแล้ว ดังนั้นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ต้องการตั้งครรภ์คือการเตรียมตัวสำหรับการตั้งครรภ์ เพื่อให้เกิดทารกที่แข็งแรงสมบูรณ์ และมีความปลอดภัยต่อทั้งทารก และมารดาตลอดการตั้งครรภ์ ในบทความนี้จะกล่าวถึงสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเตรียมตัวตั้งครรภ์ พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง และการปฏิบัติตัวเพื่อเตรียมพร้อมก่อนการตั้งครรภ์
สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเตรียมตัวตั้งครรภ์1
การได้รับสารอาหารที่เหมาะสมตั้งแต่ก่อนเริ่มการตั้งครรภ์จะช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดีของมารดา และลดความเสี่ยงต่อความผิดปกติของทารก โดยสารอาหารที่แนะนำ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ลดความเสี่ยงต่อความพิการแต่กำเนิด และเพื่อให้มารดามีสุขภาพที่ดีมีดังนี้
- กรดโฟลิก ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ควรรับประทานกรดโฟลิกในขนาด 0.4 มิลลิกรัม/วัน และอาจพิจารณาในขนาดที่สูงขึ้นหากมีความเสี่ยงต่อการขาดกรดโฟลิกที่อาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้ เช่น หญิงที่มีภาวะเบาหวาน สูบบุหรี่ ภาวะอ้วน (BMI > 35 กิโลกรัม/ตารางเมตร) หรือรับประทานยากันชัก โดยกรดโฟลิกนี้ควรรับประทานเสริมก่อนการวางแผนตั้งครรภ์ 1 เดือน และควรรับประทานต่อเนื่องไปตลอดการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก
- เหล็ก มีส่วนสำคัญในการเพิ่มปริมาณของเม็ดเลือดแดง การเพิ่มปริมาณสารน้ำ และจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ในหญิงที่ต้องการตั้งครรภ์ควรรับประทานอาหารที่มีเหล็กอย่างเพียงพอ ได้แก่ เนื้อแดง เนื้อปลา ถั่วตระกูลนัท หรือผัก และควรได้รับธาตุเหล็กเสริม รวมทั้งการค้นหาว่ามีภาวะขาดเหล็กร่วมด้วยหรือไม่
กรมอนามัยได้ส่งเสริมวิตามินให้หญิงวัยเจริญพันธุ์รับประทานก่อนการตั้งครรภ์ คือวิตามินที่มีส่วนประกอบของธาตุเหล็ก ขนาด 60 มิลลิกรัม และกรดโฟลิก ขนาด 2.8 มิลลิกรัม โดยรับประทานครั้งละ 1 เม็ด สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ก่อนการตั้งครรภ์ 1-3 เดือน และเมื่อเริ่มตั้งครรภ์สามารถรับประทานทั้งธาตุเหล็ก กรดโฟลิกต่อได้ และให้ร่วมกับการเสริมไอโอดีนเพิ่มเติมเมื่อมีการตั้งครรภ์2
- แคลเซียม ในระหว่างการตั้งครรภ์ แคลเซียมมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างกระดูก ทั้งในหญิงตั้งครรภ์ และทารก จากคำแนะนำการรับประทานแคลเซียมในหญิงอายุ 19-50 ปี อยู่ที่ 800 มิลลิกรัม/วัน3 โดยแหล่งของแคลเซียมนั้นมาจากผลิตภัณฑ์จำพวกนม กะหล่ำปลี บล็อคโคลี เป็นต้น
- อาหารทะเล และเนื้อปลา เนื่องจาก omega-3 fatty acid นั้นมีความจำเป็นในช่วงตั้งครรภ์ โดยเสริมสร้างการพัฒนาของสมองของทารก หญิงที่ต้องการตั้งครรภ์จึงควรรับประทานอาหารทะเลอย่างสม่ำเสมอ และควรระวังอาหารทะเลบางประเภทที่อาจพบการปนเปื้อนของสารปรอทซึ่งทำให้เกิดความผิดปกติของทารกได้ สำหรับอาหารทะเลที่พบว่ามีการปนเปื้อนของสารปรอทน้อย ได้แก่ กุ้ง ปลาทูน่า ปลาแซลม่อน ปลาดุก ปลาบึก เป็นต้น
พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงในหญิงที่ต้องการตั้งครรภ์1
- จำกัดการดื่มคาเฟอีน แม้ข้อมูลของคาเฟอีนต่อผลของทารกในครรภ์ยังไม่แน่ชัดและมีความแปรปรวนในงานวิจัยที่ทำการศึกษา อย่างไรก็ตามคาเฟอีนนั้นสามารถผ่านไปยังทารก และทำให้ทารกได้รับผลจากสารคาเฟอีนไปด้วย คำแนะนำปริมาณคาเฟอีนที่สามารถรับประทานได้ในหญิงที่ต้องการตั้งครรภ์คือไม่เกิน 200 มิลลิกรัม/วัน (เทียบเท่ากับกาแฟปริมาณ 350 มิลลิลิตร) นอกจากนี้ต้องระวังคาเฟอีนที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ชนิดอื่น เช่น ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เช่นเดียวกัน
- การหยุดสูบบุหรี่ มีหลักฐานชี้ชัดว่าการสูบบุหรี่จะทำให้การตั้งครรภ์เกิดได้ช้า หรือนำมาสู่ภาวะการมีบุตรยาก และเมื่อมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นแล้วแต่ยังคงมีการสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่องนั้นจะเกิดผลเสียต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์ และเกิดความเสียหายต่อระบบสมอง ระบบประสาท ระบบหัวใจของทารก วิธีการที่ดีที่สุดคือการหยุดสูบบุหรี่ตั้งแต่ก่อนเริ่มตั้งครรภ์ (อย่างน้อย 3 เดือน)2 ดังนั้นหญิงที่ต้องการตั้งครรภ์จึงควรขอรับคำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์เพื่อการหยุดบุหรี่อย่างเหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ จากข้อมูลหญิงที่ต้องการตั้งครรภ์และมีการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณ 5 drinks/สัปดาห์ จะส่งผลเสียต่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์ ดังนั้นหญิงที่ต้องการตั้งครรภ์จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ไปจนถึงช่วงที่มีการตั้งครรภ์
การปฏิบัติตัวเพื่อเตรียมพร้อมก่อนการตั้งครรภ์1
สิ่งสำคัญมากของหญิงที่ต้องการตั้งครรภ์คือการขอรับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อวางแผนการตั้งครรภ์ ซึ่งประโยชน์ของการวางแผนตั้งครรภ์มีดังนี้
- แพทย์จะทำการซักประวัติโรคประจำตัวผู้ป่วยที่อาจมีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ เช่น โรคเบาหวาน ไทรอยด์ ฟีนิลคีโตนูเรีย และโรคชัก โดยผู้ป่วยควรควบคุมอาการได้คงที่ก่อนการตั้งครรภ์ อีกทั้งแพทย์จะทำการค้นหาโรคทางพันธุกรรมทั้งสามี และภรรยา ที่อาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้
- ยาบางชนิดควรหลีกเลี่ยงการใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจส่งผลเสียต่อทารกในครรภ์ ดังนั้นหากหญิงที่ต้องการตั้งครรภ์มีโรคประจำตัว และมีการใช้ยารักษาโรคประจำตัวอย่างสม่ำเสมอต้องรีบปรึกษาแพทย์แต่เนิ่น ๆ เนื่องจากยาบางชนิดต้องหยุดก่อนการตั้งครรภ์เป็นเวลานาน ยกตัวอย่างยาที่ส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้แก่ 1) ยาลดความดันกลุ่ม angiotensin converting enzyme inhibitors/angiotensin receptor blockers 2) ยาวาร์ฟาริน ซึ่งเป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือด 3) ยาไขมันกลุ่มสแตติน 4) ยากันชักเช่น valproic acid, phenytoin, carbamazepine, topiramate 5) ยารักษาสิวกลุ่มเรตินอยด์ (isotretinoin) 6) ยารักษาโรคทางภูมิคุ้มกัน methotrexate เป็นต้น รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้สมุนไพรทุกชนิด
- ป้องกันโรคติดเชื้อที่อาจส่งผลต่อทารกเมื่อมีการตั้งครรภ์ โดยแพทย์จะทำการค้นหาว่าผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อบางชนิด เช่นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่ เนื่องจากอาจมีการถ่ายทอดจากมารดาไปสู่ทารกในครรภ์ได้ ร่วมกับการพิจารณาวัคซีนที่ควรได้รับก่อนการตั้งครรภ์ นอกจากนี้หญิงที่ต้องการตั้งครรภ์ควรมีการปฏิบัติตัวเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่นการรับประทานอาหารปรุงสุกและสะอาด ล้างผัก ผลไม้ให้สะอาดก่อนการรับประทาน การหลีกเลี่ยงการสัมผัสดิน หรืออุจจาระของสัตว์เลี้ยงโดยตรง เลี่ยงการใช้ช้อนส้อม แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว ร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น
- วางแผนวิธีในการคุมกำเนิดอย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจากช่วงเวลาที่ต้องการให้เกิดการตั้งครรภ์ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้วิธีการคุมกำเนิดที่มีระยะเวลาออกฤทธิ์นานเกินไป
สรุป
การตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์และมีสุขภาพที่ดีนั้น เริ่มต้นตั้งแต่การเตรียมตัวก่อนการตั้งครรภ์ ดังนั้นหญิงวัยเจริญพันธุ์จึงควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการตั้งครรภ์ ทั้งการรับประทานสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการตั้งครรภ์อย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่างเนื่องจากอาจส่งผลลัพธ์ต่อการตั้งครรภ์ และเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์เพื่อการวางแผนตั้งครรภ์อย่างเหมาะสม
Image by Freepik