Eng |
อาจารย์ ดร.ทนพ. เมธี ศรีประพันธ์ ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ในปี 2565 นอกเหนือจากการระบาดต่อเนื่องของโรคโควิด-19 แล้ว ยังมีโรคติดเชื้อไวรัสอีกชนิดหนึ่งที่มีการระบาดในช่วงนี้เช่นกันคือโรคฝีดาษวานรหรือฝีดาษลิง (Monkeypox) ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับโรคฝีดาษลิงเพื่อเป็นข้อมูลในการระวังและป้องกันตนเองต่อไป
โรคฝีดาษวานรหรือฝีดาษลิง (Monkeypox) มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิง (Monkeypox virus) ไวรัสชนิดนี้อยู่ใน Family Poxviridae และ Genus Orthopoxvirus ซึ่งมีความใกล้เคียงกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ (smallpox) ในคนแต่โรคฝีดาษลิงจะมีอาการรุนแรงน้อย
ภาพจาก : https://scitechdaily.com/images/Monkeypox.jpg
การระบาดของโรคฝีดาษลิงพบมากในประเทศแถบแอฟริกากลางและตะวันตกรวมถึงประเทศอื่น ๆ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อิสราเอล ไนจีเรีย อินเดีย อังกฤษและสิงคโปร์ เป็นต้น โดยในการระบาดใหญ่ในปี 2022 พบว่ามีการระบาดในหลายประเทศที่ไม่เคยเป็นแหล่งระบาดในอดีตมาก่อน ปัจจุบัน (ข้อมูลวันที่ 12 สิงหาคม 2565 จากเว็บไซต์ 2022 Monkeypox Outbreak Global Map ของ CDC) มีรายงานผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงมากกว่า 30,000 รายใน 89 ประเทศทั่วโลก โดยในประเทศไทย (ข้อมูลวันที่ 15 สิงหาคม 2565) มีรายงานยืนยันผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงทั้งสิ้น 5 ราย ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ 2 รายและชาวไทย 3 ราย
ปัจจุบันโรคฝีดาษลิงจัดเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern หรือ PHEIC) ตามประกาศขององค์การอนามัยโลกเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2565 นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยได้กำหนดโรคฝีดาษลิงเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2565
สายพันธุ์ของเชื้อไวรัสฝีดาษลิงที่มีรายงานการระบาดมี 2 สายพันธุ์ได้แก่ สายพันธุ์ Central African (Congo Basin) clade และ West African clade โดยสายพันธุ์ Central African clade จะทำให้เกิดอาการที่รุนแรงและอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าโดยมีอัตราป่วยตายอยู่ที่ร้อยละ 10 ในขณะที่ West African clade จะมีอัตราป่วยตายอยู่ที่ร้อยละ 1 ต่อมาองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดการเรียกชื่อสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสฝีดาษลิงใหม่ (ข้อมูลวันที่ 12 สิงหาคม 2565) โดยเรียกไวรัสสายพันธุ์ Central African clade เป็น Clade I ในขณะที่เรียกไวรัสสายพันธุ์ West African clade เป็น Clade II นอกจากนี้ไวรัสในกลุ่ม Clade II ยังแบ่งเป็น Clade IIa และ Clade IIb ตามลำดับ โดยสายพันธุ์หลักที่พบการระบาดในปี พ.ศ. 2565 หรือ ค.ศ. 2022 อยู่ในกลุ่ม Clade IIb
ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่งรวมถึงแผลและรอยโรคตุ่มหนองที่ผิวหนังหรือเยื่อเมือกของสัตว์ที่ติดเชื้อ การรับประทานเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก โดยสัตว์ที่เป็นแหล่งรังโรคหรือกักโรคคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กโดยเฉพาะสัตว์ในตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะต่าง ๆ เช่น หนู กระรอก กระต่ายเป็นต้น
ผ่านการสัมผัสใกล้ชิด สัมผัสโดยตรง หรือสัมผัสกับสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจ น้ำลาย/น้ำมูก ตุ่มแผลหรือรอยโรคของผู้ป่วย การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ที่มีเชื้อ อย่างไรก็ตามปัจจุบันการติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดในปัจจุบัน ซึ่งโอกาสการแพร่เชื้อจากคนสู่คนมักมาจากการสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่เป็นโรค
นอกจากนี้การมีเพศสัมพันธ์อาจเป็นหนึ่งในการถ่ายทอดเชื้อได้รวมถึงการมีคู่นอนหลายคนก็ถือเป็นอีกความเสี่ยงในการติดเชื้อได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
5-21 วันนับจากวันที่สัมผัส
ผู้ติดเชื้อจะมีไข้ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย โดยอาการที่เป็นลักษณะเด่นของโรคฝีดาษลิงเมื่อเทียบกับไข้ออกผื่นชนิดอื่นที่ใกล้เคียงกันคือต่อมน้ำเหลืองโต โดยตุ่มหรือผื่นที่ผิวหนังมักเกิดขึ้นภายใน 1-3 วันหลังจากมีไข้หรือหลังช่วงไข้ลดลง ในผู้ป่วยบางรายอาจมีผื่นขึ้นนำมาก่อน ตุ่มหรือผื่นที่เกิดขึ้นมักพบที่ใบหน้าและกระจายไปส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเช่น แขนและขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า นอกจากนี้ยังพบบริเวณลำตัว เยื่อบุในช่องปาก ศีรษะ เยื่อบุดวงตา อวัยวะเพศและรอบทวารหนัก ลักษณะของผื่นจะมีตั้งแต่ ผื่นที่แบนราบไปกับผิวหนัง ตุ่มนูนขึ้นจากผิวหนัง ตุ่มน้ำใส ตุ่มหนอง จนถึงตุ่มที่แห้งและตกสะเก็ดหลุดออกมา ผู้ป่วยจะถูกแยกกักเป็นเวลา 21 วันหรือจนพ้นระยะแพร่เชื้อคือ ทุกรอยโรคได้แก่ผื่นและตุ่มบนร่างกายแห้ง ตกสะเก็ดและสะเก็ดหลุดออกรวมถึงมีผิวหนังปกติข้างใต้ ดังนั้นถ้ามีอาการหรือสงสัยเข้ากับโรคฝีดาษลิงควรพบแพทย์และแยกตัวทันที
โดยมากโรคนี้จะมีอาการไม่รุนแรงและมักหายได้เองภายใน 2-4 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามอาการรุนแรงสามารถพบได้ในผู้ป่วยเด็กรวมถึงผู้ที่มีภาวะการทำงานของภูมิคุ้มกันผิดปกติหรือลดลง อาการแทรกซ้อนที่พบได้คือ การติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงซ้ำ การติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ หลอดลมและปอดอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด ไข้สมองอักเสบ ที่อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ รวมทั้งอาจเกิดการติดเชื้อที่ดวงตาที่ทำให้เสี่ยงต่อภาวะตาบอด อย่างไรก็ตามอัตราการตายของโรคนี้ค่อนข้างต่ำโดยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 5
การวินิจฉัยโรคฝีดาษลิงจะอาศัยการซักประวัติเดินทางไปพื้นที่เสี่ยง ประวัติการสัมผัสโรครวมถึงอาการของผู้ป่วยร่วมกับการตรวจร่างกายโดยแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลักษณะและตำแหน่งของผื่นและตุ่มรวมถึงการมีภาวะต่อมน้ำเหลืองโตหรือไม่
การตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการจะเก็บตัวอย่างจากบริเวณตุ่มแผล ตุ่มหนอง สะเก็ดแผลจากบริเวณที่ติดเชื้อเช่นผิวหนังหรือในช่องปากไปตรวจหาเชื้อไวรัสฝีดาษลิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสด้วยวิธีทาง อณูชีววิทยาเช่น polymerase chain reaction หรือ PCR นอกจากนี้ยังสามารถตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสฝีดาษลิงจากเลือดได้เช่นกัน ในขณะที่การเพาะแยกเชื้อไวรัสมักทำในงานวิจัยและต้องอาศัยห้องปฏิบัติการที่มีความจำเพาะ มีมาตรฐานและความปลอดภัยสูง
การรักษาผู้ป่วยฝีดาษลิงเป็นการรักษาตามอาการของผู้ป่วยเช่น ลดไข้ ลดความไม่สบายจากตุ่มหนองรวมถึงป้องกันภาวะแทรกซ้อนและผลกระทบระยะยาวหลังหายจากโรค นอกจากนี้ต้องระวังไม่ให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำบริเวณตุ่มแผล ปัจจุบันยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโรคฝีดาษลิงคือ Tecovirimat (TPOXX) โดยมักให้ในผู้ป่วยติดเชื้อที่มีอาการรุนแรง
ทั้งนี้ในผู้ที่สัมผัสหรือมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อจะต้องแยกสังเกตอาการหรือกักตัวเป็นเวลา 21 วัน ปัจจุบันมีวัคซีนที่ได้รับอนุญาตในสหรัฐอเมริกาคือ JYNNEOS นอกจากนี้ยังสามารถใช้วัคซีนไข้ทรพิษในการป้องกันโรคฝีดาษลิงได้โดย มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคร้อยละ 85