Eng |
รองศาสตราจารย์ ดร.ภญ.วิลาสินี หิรัญพานิช ซาโตะ ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ณ เวลานี้ จึงยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่ายาทั้งสองชนิดให้ผลรักษาอาการป่วยจากโรคโควิด-19 ได้หรือไม่ จึงจำเป็นต้องติดตามสรุปผลการรักษารวมทั้งความปลอดภัยจากการใช้ยาต่อไป
จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่ผู้ป่วยจะหาซื้อยามาใช้ในการรักษาด้วยตนเอง การรักษาที่ถูกต้องจำเป็นต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เท่านั้น
คลอโรควิน (chloroquine) เป็นยากลุ่มที่สังเคราะห์จากสารควินีน (quinine) สกัดจากเปลือกต้นซิงโคนา (cinchona) ใช้รักษาและป้องกันโรคมาลาเรีย และมีฤทธิ์ต้านกระบวนการอักเสบ ใช้รักษาความผิดปกติจากโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่น โรคเอสแอลอี (Systemic lupus erythematosus: SLE) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis) เป็นต้น นอกจากนั้นยายังมีฤทธิ์กว้างในการฆ่าเชื้อหลายชนิด ได้แก่ แบคทีเรีย รา และ ไวรัส อีกด้วย(1) ผลจากการศึกษาในเซลล์เพาะเลี้ยง พบว่าคลอโรควินมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสชนิด severe acute respiratory syndrome coronavirus 1 (SARS-CoV-1) (2) และมีผลการศึกษาไฮดร็อกซี่คลอโรควิน (hydroxychloroquine) ซึ่งเป็นเป็นอนุพันธ์ของคลอโรควินในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่ามีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ได้แรงมากกว่าคลอโรควิน(3) จากข้อมูลเหล่านี้ทำให้คลอโรควินและไฮดร็อกซี่คลอโรควินเป็นกลุ่มยาอีกชนิดหนึ่งที่จัดว่าเป็นความหวังในการใช้รักษาการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 : COVID-19) ที่กำลังระบาดและทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากเสียชีวิตอยู่ทั่วโลกในขณะนี้
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
ขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของคลอโรควินและยาที่เป็นอนุพันธ์ ในการยับยั้งเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 แต่อาศัยข้อมูลจากผลการศึกษาในหลอดทดลองต่อเชื้อ SARS-CoV-1 ที่ผ่านมา(1,4) คาดว่ายาอาจจะมีฤทธิ์ต้านไวรัส SARS-CoV-2 จากหลายกลไก (รูปที่ 1) ได้แก่
การโจมตีของไวรัส SARS-CoV-2 นั้นกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบออกมาเป็นจำนวนมาก สารนั้นได้แก่ tumor necrosis factor (TNF-alpha) และ interleukin 6 (IL-6) ซึ่งก่อให้เกิดภาวะทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลันรุนแรง (acute respiratory distress syndrome) เชื่อว่าคลอโรควินมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบดังกล่าว (รูปที่ 2)(1,4)
เภสัชจลนศาสตร์
คลอโรควินดูดซึมรวดเร็วและเกือบสมบูรณ์จากทางเดินอาหาร ทำให้ความเข้มข้นขึ้นสูงสุดในน้ำเลือดภายใน 3 ชั่วโมง มีค่าการกระจายของตัวยาสูง สามารถกระจายตัวเข้าสู่เนื้อเยื่อได้อย่างรวดเร็ว และถูกเปลี่ยนแปลงที่ตับเกิดเป็นสาร desethylchloroquine และ bisdesethylchloroquine โดยมีค่าครึ่งชีวิต (half-life) ยาวประมาณ 20 - 60 วัน และถูกขับออกทางไต(5)
อาการไม่พึงประสงค์
คลอโรควินจัดว่าเป็นยาที่มีดัชนีการรักษาแคบ มีอาการไม่พึงประสงค์สูง การใช้ยาเกินขนาดอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตจากภาวะความดันโลหิตต่ำ และระบบการหายใจล้มเหลวได้ ขณะที่ไฮดร็อกซี่คลอโรควินมีรายงานว่าเกิดความเป็นพิษและมีโอกาสเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาชนิดอื่นต่ำกว่ายาคลอโรควิน แต่เนื่องจากไฮดร็อกซี่คลอโรควินมีค่าครึ่งชีวิตยาวนาน (ประมาณมากกว่า 40 วัน) จึงสามารถสะสมในร่างกายได้นานและก่อให้เกิดอันตรายได้มากขึ้นหากได้รับยาเกินขนาด(6) ดังนั้นระหว่างการรักษาด้วยยาทั้งสองชนิดต้องเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา ได้แก่ ผื่นแพ้ คลื่นไส้ อาเจียน ตาเบลอ โลหิตจาง เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ และควรตรวจติดตามความผิดปกติของสารอิเล็กโตรไลต์หรือเกลือแร่ในไตและการทำงานของตับ ที่สำคัญคือต้องตรวจเช็คการทำงานของหัวใจเพื่อป้องกันการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิด QT interval prolongation (ที่มักเกิดขึ้นโดยเฉพาะเมื่อเกิดอันตรกิริยากับยาชนิดอื่น) อาการไม่พึงประสงค์อื่นที่พบไม่บ่อยแต่รุนแรง ได้แก่ ภาวะเม็ดเลือดแดงแตก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ขาดเอนไซม์ จีซิกพีดี (G6PD)(5,6) (อ่านบทความเรื่องจีซิกพีดีเพิ่มเติม..คลิ๊ก)
ผลการศึกษาทางคลินิก
คลอโรควินยังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกในการรักษาโรคโควิด-19 แต่อย่างไรก็ตามมีข้อมูลจากการศึกษาอย่างเป็นระบบจากหลาย ๆ สถาบัน(7) เกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของคลอโรควินในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 เช่น การศึกษาของผู้เชี่ยวชาญในประเทศจีน(8) และประเทศอิตาลี(9) ใช้ยาคลอโรควินฟอสเฟต ขนาด 500 มก. วันละ 2 ครั้ง(8) หรือไฮดร็อกซี่คลอโรควิน ขนาด 200 มก. ต่อวัน วันละ 2 ครั้ง(9) ติดต่อกันนาน 10 วัน กับผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่ติดเชื้อ SARS-CoV-2 พบว่าใช้เวลารักษานานแตกต่างกันระหว่าง 5 – 20 วัน ขึ้นกับระดับความรุนแรงของอาการของผู้ป่วย(9) นอกจากนั้นการศึกษาจากศูนย์ควบคุมโรคติดเชื้อของประเทศเนเธอร์แลนด์แนะนำการใช้ยาคลอโรควินร่วมกับการให้อ็อกซิเจนในการรักษาผู้ป่วยภาวะฉุกเฉิน โดยในวันแรกของการรักษา ให้เริ่มใช้ยาคลอโรควีนเบส (chloroquine base) ขนาด 600 มก. หลังจากนั้น 12 ชม. ให้ลดขนาดยาเหลือ 300 มก. และในวันที่ 2 - 5 ให้ใช้ยาขนาด 300 มก. วันละ 2 ครั้ง และไม่ควรใช้ยาติดต่อกันนานเกิน 5 วัน เพื่อหลีกเลี่ยงอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา(10)
ปัจจุบันนี้มีการศึกษาวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกหลายรูปแบบที่กำลังดำเนินการศึกษาอยู่ในประเทศจีน จำนวน 23 การศึกษา ที่ทดสอบผลการใช้คลอโรควินหรือไฮดร็อกซี่คลอโรควินในขนาดการรักษาและรูปแบบการรักษาที่แตกต่างกันในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 แต่การศึกษานั้นยังไม่สิ้นสุด นอกจากนั้นมีผู้เชี่ยวชาญทางการรักษาแสดงความคิดเห็นว่าผลการศึกษาทางคลินิกของคลอโรควินหรือไฮดร็อกซี่คลอโรควินยังให้ผลไม่แน่ชัดและบางการศึกษายังไม่มีคุณภาพพอที่จะสรุปประสิทธิผลของยาทั้งสองชนิดในการรักษาอาการผู้โรคป่วยโรคโควิด-19(6)
ณ เวลานี้ จึงยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่ายาทั้งสองชนิดให้ผลรักษาอาการป่วยจากโรค COVID-19 ได้หรือไม่ จึงจำเป็นต้องติดตามสรุปผลการรักษารวมทั้งความปลอดภัยจากการใช้ยาต่อไป (6,7)
การเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา
ยานี้ถูกควบคุมการดูดซึมที่ลำไส้เล็กด้วยโปรตีนนำส่งชนิดหนึ่ง แต่มียาบางชนิดที่ยับยั้งโปรตีนนำส่งชนิดดังกล่าวทำให้เกิดการดูดซึมคลอโรควินหรือไฮดร็อกซี่คลอโรควินมากกว่าปกติ ได้แก่ ยาปฎิชีวนะกลุ่มแมคโคไลน์ (macrolides) ยาต้านอาเจียนชนิดบางชนิด ยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ยาต้านโรคซึมเศร้า ยาลดกรด เช่น cimetidine และยารักษาโรคจิตเภทบางชนิด เป็นต้นนอกจากนั้นควรระวังการเกิดอันตรกิริยากับยาชนิดอื่นที่อาจส่งเสริมความรุนแรงของการเกิดภาวะ prolong QT interval ของหัวใจด้วย(5,6,11)
เดือน มี.ค. พ.ศ. 2563 มีการศึกษาทางคลินิกแบบเปิด (open-label non-randomized clinical trial) ศึกษาในผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวน 36 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 26 คน ได้รับไฮดร็อกซี่คลอโรควิน ขนาด 600 มก. ต่อวัน ติดต่อกันนาน 10 วัน เปรียบเทียบผลกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับยา ภายหลังจากการรักษา 6 วัน พบว่าร้อยละ 70 ของผู้ป่วยในกลุ่มทดลอง มีการลดลงชองเชื้อไวรัสได้มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งกลุ่มควบคุมมีการลดลงของเชื้อเพียงร้อยละ 12.5(12) เมื่อวิเคราะห์ต่อไปพบว่าในกลุ่มทดลองที่มีการใช้ยาไฮดร็อกซี่คลอโรควินร่วมกับยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิด azithromycin นั้น ผู้ป่วยทุกราย (ร้อยละ 100) สามารถกำจัดไวรัสลงได้ ขณะที่กลุ่มที่ได้ยาไฮดร็อกซี่คลอโรควินอย่างเดียวกำจัดไวรัสได้ร้อยละ 57.1 และกลุ่มควบคุมกำจัดไวรัสได้เพียงร้อยละ 12.5 ข้อมูลนี้ก่อให้เกิดความหวังในการใช้สูตรยานี้ในการรักษาอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศอเมริกา อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมีความกังวลเรื่องคุณภาพการศึกษาและการแปลผลเนื่องจากการศึกษานี้วัดประเมินผลจากจำนวนไวรัสที่ลดลงแต่ไม่ได้ระบุถึงผลการบรรเทาอาการแสดงของผู้ป่วย(13)
นอกจากนั้นเมื่อพิจารณาในประเด็นของการเกิดอันตรกิริยาของยาไฮดร็อกซี่คลอโรควินเมื่อใช้ร่วมกับ azithromycin แล้ว พบว่า ไม่ควรใช้ยาทั้งสองชนิดร่วมกัน เพราะยาทั้งสองชนิดจะเกิดอันตรกิริยาต่อกัน(11) โดย 2 กลไกคือ
สรุป
ขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและกลไกระดับโมเลกุลของคลอโรควินและไฮดร็อกซี่คลอโรควินในการยับยั้งเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ข้อมูลปัจจุบันเป็นเพียงหลักฐานวิชาการจากการทดลองในหลอดทดลองเท่านั้นว่ายาสามารถฆ่าเชื้อ SARS-CoV-2 แม้มีหลักฐานทางคลินิกแสดงให้เห็นว่าคลอโรควินและไฮดร็อกซี่คลอโรควิน ช่วยรักษาอาการแสดงเกี่ยวกับอาการทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลันในผู้ป่วย อย่างไรก็ตามขณะนี้การวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกที่ได้มาตรฐานเกี่ยวกับการศึกษาผลของยาทั้งสองชนิดในการรักษาโรคโควิด-19 ยังมีจำกัด จึงต้องติดตามผลการศึกษาทางคลินิกในระยะยาวต่อไป และเนื่องจากยามีดัชนีการรักษาแคบ มีอาการไม่พึงประสงค์สูง รวมทั้งมีโอกาสเกิดอันตรกิริยากับยาชนิดอื่นได้หลายชนิด จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่ผู้ป่วยจะหาซื้อยามาใช้ในการรักษาด้วยตนเอง การรักษาที่ถูกต้องจำเป็นต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เท่านั้น