Eng |
รองศาสตราจารย์ ดร.ภญ. นพมาศ สุนทรเจริญนนท์ ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เกริ่นนำ
สมุนไพรสุดฮิตที่กล่าวขานกันมากที่สุดใน social media ขณะนี้คือ “ทุเรียนเทศ” หรืออาจจะเรียกว่า ทุเรียนน้ำ เป็นสมุนไพรที่ว่ากันว่าเป็นสุดยอดในการรักษาโรคมะเร็งสารพัดชนิด มีคนไข้ที่กล่าวว่าได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แล้วว่าเป็นมะเร็ง และเมื่อได้รับประทานน้ำต้มใบทุเรียนเทศแล้ว ทำให้หายจากโรคมะเร็ง ซึ่งข่าวนี้ได้มีการส่งต่อในสังคมออนไลน์อย่างแพร่หลายมาได้ระยะหนึ่งแล้ว.... แต่ .. ข้อมูลดังกล่าวมีความถูกต้องเชื่อถือได้หรือไม่ และข้อมูลนั้นมีการพิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์มาแล้วหรือไม่ ??
ก่อนที่จะกล่าวถึง “ทุเรียนเทศ” ผู้เขียนขอแลกเปลี่ยน เรียนรู้ เรื่องของข้อมูลสมุนไพรที่มีการส่งต่อ ๆ กันใน social media เพื่อเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับเกี่ยวกับสมุนไพรว่ามีความน่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด โดยประเด็นที่ควรจะพิจารณา คือ สมุนไพรเหล่านั้น มีข้อมูลเหล่านี้อยู่หรือไม่
ข้อมูลที่ได้กล่าวมานี้จะเป็นข้อมูลที่จะสร้างความมั่นใจใหักับสมุนไพรนั้น ทั้งด้านประสิทธิผล และด้านความปลอดภัย ในกรณีของใบทุเรียนเทศก็เช่นเดียวกัน ก็ควรที่จะวิเคราะห์ข้อมูลดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
ทุเรียนเทศ ...คืออะไร?
ทุเรียนเทศ หรือทุเรียนน้ำ มีวิทยาศาสตร์ว่า Annona muricata L. อยู่ในวงศ์ Annonaceae (วงศ์เดียวกับน้อยหน่า น้อยโหน่ง กระดังงา และการเวก) ทุเรียนเทศมีชื่อเรียกตามประเทศและท้องถิ่นที่ต่างๆ กัน เช่น soursop, graviola, prickly custard apple, Nangka blanda, Brazilian pawpaw, guanabana, durian benggala, zuurzak, Sirsak, Sauersack1 เป็นพืชพื้นเมืองของทวีปอเมริกา ปัจจุบันปลูกได้ทั่วโลกในประเทศแถบเขตร้อนชื้น ในทวีปเอเซียพบได้ในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ สำหรับประเทศไทยพบได้มากทางตอนใต้ ทุเรียนเทศเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 5–6 เมตร ใบสีเขียวเข้ม ผลขนาดใหญ่รับประทานได้ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 15–20 เซนติเมตร เปลือกผลสีเขียว มีหนาม เนื้อในสีขาว มีขายในตลาดเป็นผลไม้ เครื่องดื่ม หรือ sherbets2 ในประเทศบราซิลและแถบรัฐปีนังของประเทศมาเลเซีย มีการนำทุเรียนเทศมาแปรรูปเป็นน้ำทุเรียนเทศเข้มข้นซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก1
สรรพคุณทางภูมิปัญญาของใบทุเรียนเทศ
ชาว west Indies ใช้ชาชงใบทุเรียนเทศเป็นชาสงบ ระงับ (sedative) ชาวตรินิแดดใช้ใบ ลดความดันโลหิต ชาวเปรูใช้ใบรักษาอาการปวดเกร็งท้อง และสงบ ระงับ ชาวกานาใช้ชาชงจากใบ บำรุงหัวใจและสงบ ระงับ ชาวบราซิลใช้ชาชงและน้ำต้มจากใบ รักษาอาการปวดข้อ รูมาตอยด์ และปวดปลายประสาท3,4 แก้ปวดศรีษะ นอนไม่หลับ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต้านการอักเสบ4 จะเห็นได้ว่าในอดีตไม่มีการใช้ทุเรียนเทศในการรักษาโรคมะเร็ง
ใบทุเรียนเทศรักษามะเร็งได้ ( จริงหรือ?)
จากข้อมูลสรรพคุณทางภูมิปัญญาของใบทุเรียนเทศ จะเห็นได้ว่าภูมิปัญญาในหลายประเทศมีการใช้ใบทุเรียนเทศในการลดความดันโลหิต ช่วยสงบ ระงับ นอนไม่หลับ ปวดข้อ รูมาตอยด์ และปวดปลายประสาท ไม่มีการกล่าวถึงการใช้รักษาโรคมะเร็ง มีแต่ในประเทศที่ยากจน เช่น ประเทศทางอัฟริกา ที่มีปัญหาของโรคมะเร็งและพบว่าประชาชนเข้าถึงยาแผนปัจจุบันได้น้อย ทำให้อัตราการตายด้วยโรคมะเร็งสูงจึงใช้ใบทุเรียนเทศในการรักษาโรคมะเร็ง โดยการนำใบมาต้มกับน้ำโดยอิงข้อมูลจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ปี 1940 ไม่ใช่สรรพคุณทางภูมิปัญญาท้องถิ่น
ปัจจุบันประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศทางยุโรปมีผลิตภัณฑ์ใบทุเรียนเทศหลายรูปแบบ ใช้เป็นผลิตภัณฑ์ร่วมกับยาแผนปัจจุบันในการรักษาโรคมะเร็ง ได้แก่ รูปแบบชาชง (infusion) โดยรับประทานครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 3 ครั้ง รูปแบบยาทิงเจอร์ รับประทานครั้งละ 3-4 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง รูปแบบยาผงบรรจุแคปซูล รับประทานขนาด 2 กรัม วันละ 3 ครั้ง2
ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงการศึกษาฤทธิ์ของใบทุเรียนเทศในการรักษามะเร็งในแง่วิทยาศาสตร์ ในรูปแบบ
เพื่อให้อ่านง่ายสำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงวิจัย จึงขอยกบทสรุปงานวิจัยของแต่ละรูปแบบมากล่าวไว้ก่อนในกรอบสี่เหลี่ยม ส่วนท่านที่อยู่ในแวดวงวิชาการหรืองานวิจัยสามารถอ่านรายละเอียดได้ด้านล่าง
สรุป ผลการวิจัย รูปแบบชาชงหรือน้ำต้ม |
การบริโภคใบทุเรียนเทศในรูปแบบชาชงหรือน้ำต้ม ซึ่งอาศัยน้ำเป็นตัวทำละลาย พบว่าข้อมูลวิจัยที่มีอยู่ในปัจจุบันยังมีน้อยมาก และส่วนใหญ่พบว่าไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง (เป็นการศึกษาในหลอดทดลอง) ถึงแม้ว่ามีบางงานวิจัยที่พบว่าน้ำต้มหรือชาชงใบทุเรียนเทศมีฤทธิ์ดังกล่าว แต่ต้องใช้ขนาดยาที่สูง ทั้งนี้เพราะว่าสารสำคัญในพืชวงศ์นี้เป็นสารกลุ่ม annonaceaous acetogenins ซึ่งเป็นสารที่ไม่ละลายในน้ำ (อุณหภูมิห้อง) แต่ละลายได้บ้างในน้ำต้ม และการบริโภคน้ำต้มในปริมาณที่มากจะเป็นพิษต่อไตและมดลูก ฉะนั้นหญิงตั้งครรภ์ห้ามรับประทาน8 นอกจากนี้น้ำต้มใบทุเรียนเทศยังประกอบด้วยสารต่างๆ ที่มีขั้ว ซึ่งอาจจะมีผลต่อร่างกาย เช่น สารกลุ่ม cardiac glycosides จะมีผลต่อกล้ามเนื้อหัวใจ7 |
สรุป ผลการวิจัย รูปแบบยาผงหรือยาทิงเจอร์ |
การบริโภคใบทุเรียนเทศในรูปแบบยาผง หรือ ยาทิงเจอร์ ที่สกัดด้วยตัวทำละลายอื่นที่ไม่ใช่น้ำ เช่น แอลกอฮอล์ อาจมีผลในการรักษาโรคมะเร็งได้จริง เนื่องจากมีงานวิจัยทั้งการศึกษาในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง และพบว่าสารสำคัญคือสารกลุ่ม annonaceous acetogenins และสารกลุ่มแอลคาลอย์ แต่สารกลุ่มดังกล่าวพบว่าถ้ารับประทานในปริมาณมากและระยะเวลานานจะก่อเกิดพิษต่อเนื้อเยื่อสมอง ทำให้เกิดอาการพาร์กินสัน (atypical parkinsonism) และเกิดไตวายได้ด้วย |
สรุป ใบทุเรียนเทศรักษามะเร็งได้ (จริงหรือ) |
การบริโภคใบทุเรียนเทศในรูปแบบยาต้มหรือยาชง ก็จะมีความปลอดภัยมากกว่าการบริโภครูปแบบยาทิงเจอร์ หรือยาดอง หรือยาผง แต่การจะมีผลในการรักษาโรคมะเร็งหรือไม่คงต้องมีการศึกษาในรายละเอียดอีกมากมาย ในการที่ประเทศที่ยากจนจะนำใบทุเรียนเทศมาใช้เป็นทางเลือกหนึ่ง ในการรักษามะเร็ง คงเป็นการแก้ปัญหาที่ประชาชนเข้าถึงยาแผนปัจจุบันได้ไม่ทั่วถึง เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูง
|
ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งท่านผู้อ่านทั่วไปสามารถข้ามไปได้
1. รูปแบบชาชง หรือ ยาต้มใบทุเรียนเทศ รักษามะเร็งได้จริงหรือ?
การวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของทุเรียนเทศ โดยเฉพาะการวิจัยในส่วนใบ จะเห็นได้ว่างานวิจัยจากทั่วโลกจนถึงปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลการศึกษาระดับการศึกษาในคน (clinical trial) ส่วนใหญ่จะเป็นงานวิจัยในระดับหลอดทดลอง และสารสกัดส่วนใหญ่ที่วิจัยจะเป็นสารสกัดจากแอลกอฮอล์ มีงานวิจัยที่พบว่าสารสำคัญที่สกัดได้จากใบด้วยตัวทำละลายที่ไม่มีขั้ว (เช่น hexane, chloroform) หรือมีขั้วน้อยถึงปานกลาง (ethanol, methanol, butanol) มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งหลายชนิดในหลอดทดลอง ซึ่งสารเหล่านั้นคือ สารกลุ่ม annonaceous acetogenins, alkaloids, styryllactones ซึ่งสารดังกล่าวเป็นสารที่ไม่มีขั้ว หรือมีขั้วน้อย สารดังกล่าวจะไม่ถูกสกัดออกมาด้วยน้ำ
จากงานวิจัยของ Champy และคณะ (2005) ได้ทำการวิเคราะห์สาร annonacin (ซึ่งเป็นสารที่พบได้มากที่สุดในสารกลุ่ม annonaceous acetogenins ประมาณ 70%) ในเนื้อผล ชาชง น้ำต้ม และสารสกัดเมทานอลจากใบ โดยวิธี reversed phase high pressure liquid chromatography (RP HPLC) ร่วมกับ matrix-assisted laser desorption-ionization mass spectrometry (MALDI MS) หรือ LC-MS พบว่า สาร annonacin จะถูกสกัดออกมาในรูปแบบชาชง และน้ำต้มได้น้อยกว่าเนื้อผล ประมาณ 100 เท่า และการที่สาร annonacin ถูกสกัดออกมาได้ด้วยน้ำร้อน เนื่องจากสารนี้มีจุดหลอมตัวต่ำ (ประมาณ 64 oC)5 ซึ่งจากงานวิจัยของ Fidianingsih และคณะ (2014) ได้สนับสนุนว่าชาชงใบทุเรียนเทศ มีฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งเต้านมชนิด T47D ได้บ้างแต่น้อยกว่าสารมาตรฐาน tamoxifen 274 เท่า (มีค่า IC50= 31,384.21 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ส่วนสาร tamoxifen มีค่า IC50 = 114.52 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร) แสดงว่าอาจจะมีสาร annonaceous acetogenin ละลายออกมาในน้ำร้อนได้บ้าง6
งานวิจัยของ Gavamukulya (2014) พบว่า สารสกัดจากใบทุเรียนเทศด้วยน้ำ (อุณหภูมิห้อง) ไม่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งตับชนิด Ehrlich Ascites Carcinoma ในทุกความเข้มข้นขนาด 250, 500, 750, 1000, และ 1250 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร) แต่สารสกัดแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยับยั้งได้ โดยมีค่า IC50 = 335.85 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร สารสกัดน้ำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าสารสกัดแอลกอฮอล์ โดยมีค่า IC50 = 0.9077 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ส่วนสารสกัดแอลกอฮอล์มีค่า = 2.0456 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ซึ่งกลุ่มสารที่พบได้ในทั้งสองสารสกัดคือ alkaloids (ถ้าอยู่ในรูปเกลือจะละลายน้ำได้ แต่ถ้าอยู่ในรูปอิสระจะไม่ละลายในน้ำ), flavonoids, terpenoids, coumarins และ lactones, anthraquinones, tannins, Cardiac glycosides, phenols, phytosterols, และ saponins7 เช่นเดียวกับงานวิจัยของ Arthur และคณะ (2011) ที่พบว่าน้ำต้มประกอบด้วยสารกลุ่ม saponins, condensed tannins, flavonoids และสาร glycosides อื่นๆ8
แต่จากงานวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า สารสกัดน้ำจากใบทุเรียนเทศมีผลต่อเซลล์มะเร็งตับ โดยมีผลฆ่าเซลล์มะเร็งตับได้ โดยเฉพาะน้ำต้มจากใบแห้ง ส่วนน้ำคั้นจากใบสดมีผลเช่นเดียวกันแต่มีพิษต่อเซลล์ตับปกติด้วย ถ้าจะวิเคราะห์ข้อมูลของงานวิจัยนี้ โดยอ้างอิงงานวิจัยที่ได้กล่าวมาข้างต้น แสดงว่าสารสำคัญในน้ำต้มใบทุเรียนเทศอาจจะเป็นสารกลุ่ม annonaceous acetogenins ที่ละลายออกมาได้บ้างด้วยน้ำร้อน ส่วนในกรณีน้ำคั้นใบทุเรียนเทศ สารออกฤทธิ์อาจจะเป็นสารกลุ่มอื่นที่มีขั้ว เช่น flavonoid glycosides, phenolic compounds, saponins, tannins7-9
ในฐานะผู้เขียนเป็นนักพฤกษเคมีที่ได้ทำวิจัยเกี่ยวกับพืชสมุนไพรที่มีชื่อว่า “ข้าวหลาม Goniothalamus marcanii Craib” ซึ่งเป็นพืชในวงศ์เดียวกับทุเรียนเทศ คือวงศ์ Annonaceae โดยได้วิจัยและพัฒนาสารจากเปลือกต้นข้าวหลามเพื่อเป็นยาต้านมะเร็ง งานวิจัยพบว่า สารสำคัญที่มีฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งของคนหลายชนิด (เซลล์มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งสมอง และมะเร็งเต้านม) คือ สารกลุ่ม annonaceous acetogenins และ 1-azaanthraquinones ซึ่งสารเหล่านี้เป็นสารที่สกัดแยกได้จากสารสกัดแอลกอฮอล์จากส่วนเปลือกต้น แสดงว่าสารสำคัญเหล่านี้เป็นสารที่มีขั้วน้อย ถึงขั้วปานกลาง จึงสามารถถูกสกัดได้ด้วยตัวทำละลายที่มีขั้วน้อยหรือขั้วปานกลาง และงานวิจัยนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสารสกัดด้วยน้ำ (อุณหภูมิห้อง) ไม่มีฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง10,11
2. รูปแบบยาผง หรือ ยาทิงเจอร์ใบทุเรียนเทศ รักษามะเร็งได้จริงหรือ?
มีงานวิจัยเป็นจำนวนมากที่ศึกษาในสารสกัดแอลกอฮอล์ของใบทุเรียนเทศ (หรือรูปแบบยาทิงเจอร์ หรือยาดอง) พบว่า สารประกอบทางเคมีส่วนใหญ่ที่พบในสารสกัดแอลกอฮอล์จากใบคือ สารกลุ่ม annonaceous acetogenins และสารกลุ่ม isoquinoline alkaloids ซึ่งสารกลุ่ม annonaceous acetogenins ที่สกัดได้จากส่วนใบมีมากกว่า 30 ชนิด เช่น annonacin3,4 (เป็นสารหลัก พบได้มากกว่า 70%), annonacin-10-one, annonacin A, annomutacin4, isoannonacin3, isoannonain-10-one3,4, annomuricin C, annopentocins A-C, annocatacin A และ B4, Bullatacin3, goniothalamicin, gigantetrocin A3,4, gigantetronenin4, muricoreacin, murihexocin A-C3,4,12, muricatetrocins A และ B, muricatocins A-C4, annohexocin12,13, annomuricins A และ B4 ส่วนสารกลุ่ม isoquinoline alkaloids ที่พบได้แก่ reticuline, coclaurine, coreximine, atherosperminine, stepharine, anomurine และ anomuricin12 ซึ่งสารเหล่านั้นเป็นสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งทั้งในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง
3. โอกาสการพัฒนาสารกลุ่ม annonaceous acetogenins เป็นยาต้านมะเร็ง มีมากน้อยเพียงใด?
จะเห็นได้ว่าหน่วยงานสถาบันมะเร็งแห่งชาติ (National Cancer Institute) ของประเทศสหรัฐอเมริกามีความพยายามที่จะพัฒนาสารกลุ่ม annonaceous acetogenins เป็นยาต้านมะเร็ง เช่นเดียวกับสาร taxol ที่สกัดได้จากต้น Taxus brevifolia (Pacific yew หรือ western yew) โดยเริ่มโครงการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1976 งานวิจัยพบว่าสารกลุ่ม annonaceous acetogenins มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิดในหลอดทดลอง และในสัตว์ทดลอง ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบหลักคือ มหาวิทยาลัย Purdue ในขณะเดียวกันทางประเทศเกาหลี (the Catholic University) ได้วิจัยพบว่าสารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ต่อเซลลล์มะเร็งลำไส้และมะเร็งเต้านมดีกว่าสาร adriamycin ถึง 1,000 เท่า และไม่เป็นพิษต่อเซลล์ปกติ แต่จะเห็นได้ว่าจนถึงปัจจุบันงานวิจัยไม่ได้ก้าวหน้า ยังไม่มีงานวิจัยในระดับการศึกษาในคน (clinical trial) ทั้งนี้อาจจะเนื่องจากสารกลุ่มนี้มีความเป็นพิษสูงทั้งต่อเนื้อเยื่อสมองและไต และที่สำคัญสารกลุ่มนี้ในการที่จะพัฒนาเป็นยา จะต้องมีการต่อยอดในการสังเคราะห์ให้มีปริมาณมากเพียงพอ เมื่อพิจารณาถึงโครงสร้างของสารกลุ่มนี้ จะเห็นได้ว่าสาร annonaceous acetogenins เป็นสารที่มีโครงสร้างเป็น long chain fatty acid ที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูง และที่สำคัญคือมี chiral center ที่ carbon atom หลายตำแหน่ง ตัวอย่างเช่น สาร annonacin มี chiral center 7 ตำแหน่ง คือ carbon ที่ 4, 10, 15, 16, 19, 20 และ 34 ซึ่งเป็นการยากมากที่จะสังเคราะห์สารให้ได้ stereochemistry เหมือนสารที่ได้จากธรรมชาติ และสาร annonaceous acetogenins ที่มี chiral center ต่างกันเพียงจุดเดียวก็จะมีฤทธิ์แตกต่างกันเป็น 1,000 เท่า 100,000 เท่า จะเห็นได้ว่าจากข้อมูลข้างต้นคงเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้การพัฒนาสาร annonaceous acetogenins เป็นยาต้านมะเร็ง จึงยังไม่บรรลุผลจนถึงปัจจุบัน