| 93 ครั้ง 18 ธันวาคม 2568 |
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหิดล นำโดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ศาสตราจารย์ นายแพทย์ หม่อมหลวงชาครีย์ กิติยากร รักษาการแทนรองอธิการบดีฝ่ายวิจัย และ รองศาสตราจารย์ ดร.นภเรณู สัจจรักษ์ ธีระฐิติ รองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์และสภามหาวิทยาลัย พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.ชลัท ศานติวรางคณา ผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ และ รองศาสตราจารย์ ภก.สุรกิจ นาฑีสุวรรณ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ ร่วมให้การต้อนรับ เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พร้อมด้วย ผู้อำนวยการและผู้แทนจากกองยา กองอาหาร กองควบคุมเครื่องสำอางฯ กองผลิตภัณฑ์สมุนไพร กองผลิตภัณฑ์สุขภาพนวัตกรรมฯ กองเศรษฐกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพฯ กองนโยบายแห่งชาติด้านยา และ กองควบคุมวัตถุเสพติด โดยคณะผู้มาเยือนของ อย. ได้ตอบรับการเชิญมาเยี่ยมชมสถานที่ผลิตอาหาร อาหารเสริม ยา สมุนไพรและเครื่องสำอาง ภายใต้การกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยมหิดล และได้ร่วมทำการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ พร้อมทั้งเจรจาความร่วมมือในการยกระดับระบบนิเวศน์ของการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้าน Wellness Economy ของภูมิภาค
มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะสถาบันการศึกษาและวิจัยทางการแพทย์ชั้นนำของภูมิภาค มุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ผลักดันและเติมเต็มระบบนิเวศน์ของการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อดูแลสุขภาพของประชากรตลอดช่วงอายุและสร้าง Wellness Economy ให้เกิดเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ ภายใต้การนำของ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้ผลักดันให้เกิดการสร้างสถานที่ผลิตอาหาร อาหารเสริม ยา สมุนไพรและเครื่องสำอางขึ้น ณ 3 โรงงาน ณ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ได้แก่ โรงงานอาหารทางการแพทย์ ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ โรงงานอาหารเหลว ระบบ UHT (Ultra-High Temperature) แบบบรรจุขวด และ โรงงานอาหารผงระบบไอน้ำความดันสูง (Direct steam) ที่สามารถใช้ในการผลิตอาหาร เครื่องเทศ สมุนไพรในรูปแบบเม็ดและแคบซูล โดยมุ่งเน้นการผลิตอาหารทางการแพทย์ชนิดเหลว อาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยโรคหายาก สารเสริมโภชนาการน้ำนมแม่ (Human Milk Fortifier) สำหรับเด็กน้ำหนักตัวต่ำกว่าปกติมาก รวมไปถึงอาหารเสริมและ probiotics โรงงานที่ 2 ได้แก่ ศูนย์ฝึกปฏิบัติเพื่อความเป็นเลิศด้านผลิตภัณฑ์ยาและสมุนไพร (Center of Excellence in Industrial Pharmacy for Training, Operation and Production) หรือ PharmTOP เป็นอาคารโรงงานความสูง 3 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยโดยรวมทั้งอาคารประมาณ 10,000 ตรม. อาคารนี้ได้รับการออกแบบตามมาตรฐาน GMP/PIC-S เพื่อให้มีมาตรฐานการผลิตระดับสากล และมีศักยภาพในการผลิตยา สมุนไพร/อาหารเสริม เครื่องสำอางในระดับ medium scale ตามมาตรฐานสากล โดยสามารถทำหน้าที่เป็นแหล่งพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้กับมหาวิทยาลัยมหิดล ภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมให้เกิดผลิตภัณฑ์ต้นแบบจากนวัตกรรมที่มาจากพื้นองค์ความรู้ทางงานวิจัย รวมไปถึงการทำหน้าที่เป็นแหล่งผลิตยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพตามความจำเป็น เร่งด่วนของประเทศ เช่น ยากำพร้า ยาที่ขาดแคลน ยาในภาวะฉุกเฉิน ถือเป็นการยกระดับความมั่นคงทางยา (health security) ให้กับระบบยาของประเทศอีกด้วย โรงงานแห่งที่ 3 ได้แก่ MU-Bio Plant ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยเป็นโรงงานผลิตยาที่มีชีวิต (Living Drug Factory) แห่งแรกของประเทศ รองรับการผลิตยากลุ่ม Advanced Therapy Medicinal Product (ATMP) ผลิตภัณฑ์เซลล์บําบัดจากเซลล์มนุษย์ (Somatic Cell Therapy Medicinal Product) ผลิตภัณฑ์ยีนบําบัด (Gene Therapy Medicinal Product) ผลิตภัณฑ์วิศวกรรมเนื้อเยื่อ (Tissue Engineered Product) และผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูงแบบลูกผสม (Combined ATMP) มาใช้ในการบำบัดรักษา โดยทั้งหมดนี้ถูกจัดเป็นยาและเป็นนวัตกรรมการรักษาแบบเซลล์บำบัดและยีนบำบัดที่กำลังพลิกโฉมแนวทางการรักษาโรคร้ายแรง โดยเฉพาะโรคมะเร็ง
สำหรับการพบกันระหว่างผู้บริหารระดับสูงของทั้งสององค์กรหลักแห่งชาติในครั้งนี้ ได้มีการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ และเจรจาความร่วมมือในหลายแง่มุม อาทิ ทิศทางของระบบสุขภาพในอนาคต แนวทางการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การยกระดับและปรับปรุงมาตรการด้านการกำกับดูแล ข้อบังคับ เกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การทำงานอย่างประสานพลัง (synergy) ระหว่างสององค์กรและภาคีเครือข่ายสู่เป้าหมายเดียวกัน
ทั้งนี้ ทั้งสององค์กรเห็นพ้องต้องกันในการทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมให้เกิดการยกระดับระบบนิเวศน์ของการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพของประเทศไทย ส่งเสริมให้การพัฒนา การวิจัย ระบบและขั้นตอนการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สุขภาพในรูปแบบต่างๆ มีความทันสมัย ตรงประเด็น ชัดเจน และเอื้อต่อการเดินหน้าของประเทศไทย สู่การเป็น Health & Wellness Hub ของภูมิภาค ลดการพึ่งพาผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ และส่งเสริมให้อุตสาหกรรมทางสุขภาพของไทยเจริญเติบโตเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจใหม่ของประเทศได้อย่างมั่นคง
