โรคมือเท้าปาก (hand, foot and mouth disease–HFMD) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่พบมากในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกรวมถึงประเทศไทย โดยเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคมือเท้าปากมีอยู่หลายชนิด แต่ชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด ได้แก่ ไวรัสเอนเทอโร 71 (Enterovirus 71, EV71) และ ไวรัสค็อกแซกกี A 16 (Coxsackie virus A type 16, CV-A16)[1] ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2566 พบผู้ป่วยโรคมือเท้าปากในปี พ.ศ. 2561-2565 ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีถึง 59% อายุ 3-5 ปี 33% และน้อยลงในเด็กอายุ 6-9 ปี และ 10-14 ปี ซึ่งพบ 6% โดยอัตราการป่วยของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2566 มีแนวโน้มลดลงจากปี พ.ศ. 2561-2565 และยังไม่พบผู้เสียชีวิตจากโรคมือเท้าปาก[2] อย่างไรก็ตามสามารถพบการติดเชื้อในผู้ใหญ่ได้เช่นกัน
โดยทั่วไปแล้วอาการแสดงของโรคมือเท้าปาก ได้แก่ มีไข้ มีแผล รอยแดงจ้ำ หรือตุ่มน้ำใสที่มือ เท้า และปาก ซึ่ง (รูปที่ 1) อย่างไรก็ตามอาจพบความผิดปกติที่บริเวณลำตัว รอบก้น และอวัยวะเพศได้อีกด้วย ทั้งนี้แผลในปากอาจทำให้เด็กเจ็บปากจนไม่ยอมทานอาหาร มีน้ำลายไหล ซึ่งโดยทั่วไปแล้วในรายที่อาการไม่ รุนแรง มักจะอาการดีขึ้นภายใน 2-3 วัน และเด็กสามารถหายจากโรคเองได้ภายใน 7-10 วัน
รูปที่ 1 ลักษณะแผลของโรคมือเท้าปาก
(ที่มา: BruceBlaus, https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Hand_Foot_%26_Mouth_Disease.png
เข้าถึงเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2567)
หนึ่งคำถามที่พบบ่อยในกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครอง คือ โรคมือเท้าปากสามารถติดต่อกันได้หรือไม่ ทั้งนี้เนื่องจากโรคมือเท้าปากเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ดังนั้นจึงสามารถติดต่อผ่านทางสารคัดหลั่งที่มีเชื้อไวรัสนั้นอยู่ เช่น น้ำลาย น้ำมูก ปัสสาวะ อุจจาระ และผ่านทางระบบทางเดินหายใจ[1] โรคมือเท้าปากจึงสามารถระบาดได้ง่ายในโรงเรียนอนุบาล เนอสเซอรี่ และในบ้านที่มีเด็กหลายคน เนื่องจากการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งโดยไม่ตั้งใจจากการสัมผัสตัวหรือการใช้ของเล่นของใช้ร่วมกัน รวมทั้งการอยู่ในระบบอากาศที่ไม่ถ่ายเท
เนื่องจากโรคมือเท้าปากสามารถติดต่อกันได้ การดูแลป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ ติดโรคมือเท้าปากจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยวิธีป้องกันการติดโรคมือเท้าปากอาจได้เป็น 1) การป้องกันจากสภาพแวดล้อม และ 2) การป้องกันด้วยวัคซีน
โดยมีหลักการดังนี้[3]
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ เช่น แยกของใช้ของเด็กที่ติดโรคมือเท้าปากออกจากของคนอื่น ทำความสะอาดของเล่นของใช้เป็นประจำด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่ผสมสารฟอกขาวหรือน้ำยาทำความสะอาดเอนกประสงค์ทุกครั้งหลังใช้งาน เนื่องจากแอลกอฮอล์ไม่สามารถฆ่าเชื้อก่อโรคมือเท้าปากได้
- หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดที่มีเด็กอยูู่่มาก เนื่องจากมีการกระจายตัวของอากาศได้น้อย ทำให้อาจมีสารคัดหลั่งที่อาจมีการติดเชื้ออยู่ เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย ถ้าหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่แออัด ผู้ปกครองควรใส่หน้ากากอนามัยให้เด็กตลอดเวลา
- สอนให้เด็กรู้จักการล้างมือด้วยวิธีที่ถูกต้องเป็นประจำ โดยเน้นย้ำการล้างมือด้วยสบู่ก่อนรับประทานอาหารหรือขนมให้ติดเป็นนิสัย เพื่อลดการนำสารคัดหลั่งและเชื้อโรค เข้าสู่ร่างกาย
- กักตัวเมื่อทราบว่ามีเด็กที่ติดโรคมือเท้าปาก เนื่องจากโรคนี้มีระยะเวลาการฟักตัวประมาณ 4-5 วัน[4] และจะแสดงอาการประมาณวันที่ 5 หลังจากได้รับเชื้อ ถึงแม้เด็กที่มีความเสี่ยงติดเชื้อจะยังไม่แสดงอาการ แต่อาจจะเป็นช่วงการฟักตัวของเชื้อที่สามารถแพร่กระจายสู่เด็กคนอื่นได้ ดังนั้นการกักตัวเด็กที่มีความเสี่ยง จะช่วยลดโอกาสการแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้อีก ทั้งนี้ยังคงต้องระวังการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งต่าง ๆ โดยเฉพาะอุจจาระของเด็กที่ หายจากอาการของโรคแล้ว เนื่องจากเชื้อสามารถอยู่ในอุจจาระได้นาน ดังนั้นควรล้างมือและทำความสะอาดบริเวณโดยรอบทุกครั้งหลังการเปลี่ยนผ้าอ้อม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่เด็กคนอื่น โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีเด็กเล็กรวมกันอยู่เยอะ
ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ Enterovirus virus type 71 (EV71) หรือ EntroVac ซึ่งเป็นสายพันธุ์ก่อโรคที่พบอาการแทรกซ้อนรุนแรงกว่าการติดเชื้อจากไวรัสสายพันธุ์อื่น ๆ[5] โดย EntroVac เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย ใช้ฉีดเพื่อป้องกันการเกิดโรคมือเท้าปากจากการติดเชื้อไวรัส EV71 โดยไม่ครอบคลุมถึงโรคที่เกิดจากการติดเชื้ออื่น ๆ[6]
วัคซีน EntroVac สามารถฉีดในเด็กตั้งแต่อายุ 6 เดือนถึง 5 ปี โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน[7] และในปัจจุบันจึงยังไม่มีคำแนะนำว่าจำเป็นต้องรับวัคซีนกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 แต่อย่างใด โดยข้อมูลของวัคซีนนี้ ได้แก่
- มีการศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีน EV71 เปรียบเทียบกับยาหลอกในเด็กอายุ 6-35 เดือน เป็นเวลา 1 ปี พบว่ากลุ่มที่ได้รับวัคซีนมีเพียง 0.3% ที่เป็นโรคมือเท้าปาก[8] ในอีกการศึกษาเกี่ยวกับวัคซีน EV71 และยาหลอกในเด็กอายุ 6-71 เดือน พบว่าการฉีดวัคซีนสามารถป้องกันการติดเชื้อ EV71 ได้ถึง 89.7% โดยพบการติดเชื้อในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนเพียง 1 รายในช่วงอายุ 6-35 เดือน ทั้งยังพบว่าการฉีดวัคซีนสามารถลดอัตราการเข้ารักษาในโรงพยาบาลจากโรคมือเท้าปากได้ถึง 88%[9]
- รายงานเกี่ยวกับอาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน พบว่า 0.37% เกิดอาการข้างเคียงทั่วไป เช่น มีไข้ เจ็บบริเวณจุดฉีด และอาการข้างเคียงมีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญในเด็กที่มีอายุ 48 เดือนขึ้นไป[9]
- ในส่วนของภูมิคุ้มกันภายหลังการฉีดวัคซีน มีการศึกษาระบุว่าเด็กที่ได้รับวัคซีนมีภูมิคุ้มกันสูงถึง 94.34% หลังผ่านไป 5 ปีนับตั้งแต่ได้วัคซีนเข็มแรก[10]
โรคมือเท้าปากที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถดูแลรักษาเองที่บ้านได้ โดยหลักการทั่วไปของการดูแลผู้ป่วยเป็นการรักษาตามอาการ ได้แก่
· ให้ยาลดไข้จำพวก paracetamol หรือ ibuprofen
· ดื่มน้ำบ่อย ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะขาดน้ำ (dehydration)
· บรรเทาอาการเจ็บในช่องปาก โดย
- อมและบ้วนน้ำเกลือเพื่อลดการอักเสบ
- จิบน้ำเย็นหรือรับประทานของเย็น ๆ เพิ่มความชาในช่องปากก่อนรับประทานอาหาร
- งดรับประทานอาหาร ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว และเครื่องดื่มจำพวกโซดาเพื่อลดการระคายเคือง
- ทายาป้ายแผลในปากประมาณ 15-20 นาทีก่อนรับประทานอาหาร และสามารถป้ายยาบ่อย ๆ เพื่อบรรเทาความเจ็บได้
อย่างไรก็ตามโรคมือเท้าปากอาจมีอาการแทรกซ้อนที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ พ่อแม่ผู้ปกครองควรสังเกตอาการของเด็กอย่างสม่ำเสมอ โดยอาการสำคัญที่บ่งบอกถึงภาวะแทรกซ้อนที่ควรรีบพาเด็กมาโรงพยาบาล ได้แก่
- ไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส
- อาเจียนมากและหลายครั้ง จนอาจทำให้ซึม อ่อนแรง มือสั่น ทรงตัวได้ลำบาก จากภาวะขาดน้ำ
- หายใจหอบ เหนื่อย
- ชัก
ถึงแม้ในประเทศไทยจะยังไม่มีรายงานการเสียชีวิตจากโรคมือเท้าปาก แต่อาการแทรกซ้อนจากโรคนั้นอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต หรือเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรงอื่น ๆ เช่น โรคสมองอักเสบได้[11] ดังนั้นควรติดตามดูแลอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด และรีบนำส่งโรงพยาบาลเมื่อมีอาการแสดงถึงภาวะแทรกซ้อนรุนแรงของโรคอย่างทันท่วงที
โรคมือเท้าปาก แม้จะไม่ได้มีอาการรุนแรงและสามารถรักษาตามอาการและหายได้ภายใน 7-10 วัน แต่ก็อาจพบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ การรักษาความสะอาดร่วมกับการได้รับวัคซีนป้องกัน จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันลูกน้อยให้ห่างไกลจากโรคมือเท้าปาก