ยาแก้ปวดกับการเกิด “โรคกระเพาะ” : เปรียบเทียบความเสี่ยงของยา
รองศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรหญิง นงลักษณ์ สุขวาณิชย์ศิลป์ หน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล |
|
112,714 ครั้ง เมื่อ 1 ช.ม.ที่แล้ว | |
2020-12-15 |
ยาแก้ปวดเป็นยาที่ใช้กันมากเพื่อบรรเทาอาการปวดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ปวดข้อ ปวดจากแผลผ่าตัด ปวดฟัน ปวดประจำเดือน ปวดศีรษะ ยาบางชนิดใช้ลดไข้และบรรเทาอาการอักเสบอีกด้วย เมื่อใช้ยาแก้ปวดมักเป็นที่กังวลว่ายาอาจมีผลเสียต่อทางเดินอาหารโดยทำให้เกิดเลือดออกหรือเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร (หรือ “โรคกระเพาะ”) โดยเฉพาะยาในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) ที่รู้จักกันในชื่อว่า “ยาแก้ปวดข้อ” หรือ “ยาแก้ข้ออักเสบ” ยาในกลุ่มนี้มีหลายชนิดและมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดเลือดออกหรือเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารได้แตกต่างกัน ยาแก้ปวดในบทความนี้จึงกล่าวถึงยาในกลุ่มเอ็นเสดเป็นหลัก โดยจะให้ข้อมูลถึงกลไกที่ยาทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร การเปรียบเทียบความเสี่ยงของยาต่อการเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร ปัจจัยส่งเสริมการเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารจากยา และข้อแนะนำในการใช้ยาเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร
ภาพจาก : https://www.premiermedicalhv.com/wp-content/uploads/2019/06/ulcer-pain.jpg
โรคแผลในกระเพาะอาหารจากยาแก้ปวด
ยาแก้ปวดมีมากมาย ซึ่งนอกจากพาราเซตามอลที่รู้จักกันดีและใช้กันแพร่หลายแล้ว ยังมียาในกลุ่มกลุ่มโอปิออยด์ (opioids) เช่น ทรามาดอล (tramadol), เฟนทานีล (fentanyl), โคเดอีน (codeine), มอร์ฟีน (morphine) ซึ่งมีบทบาทมากในการบรรเทาอาการปวดเฉียบพลันและอาการปวดเรื้อรัง โดยทั่วไปทั้งพาราเซตามอลและยาในกลุ่มโอปิออยด์ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำที่จะทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือ “โรคกระเพาะ” ต่างจากยาในกลุ่มเอ็นเสด ซึ่งยาหลายชนิดในกลุ่มเอ็นเสดมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดเลือดออกในทางเดินอาหาร ตลอดจนเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารได้โดยเฉพาะเมื่อใช้ยาเป็นเวลานาน
เอ็นเสดเป็น “ยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (non-steroidal antiinflammatory drugs หรือ NSAIDs)” ที่รู้จักกันในชื่อว่า “ยาแก้ปวดข้อ” หรือ “ยาแก้ข้ออักเสบ” ยาในกลุ่มนี้ล้วนออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ "ไซโคลออกซิจีเนส" หรือ "ค็อกซ์" (cyclooxygenase หรือ COX) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้ในการสร้างสารพรอสตาแกลนดิน (ดูข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง ยาแก้ปวดข้อ ข้ออักเสบ-กลุ่มเอ็นเสด) เอนไซม์มีทั้งชนิด “ค็อกซ์-1” และ “ค็อกซ์-2” ซึ่งการยับยั้งค็อกซ์-1 จะสัมพันธ์กับการทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร ยาในกลุ่มเอ็นเสดมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารได้แตกต่างกัน ยาที่ยับยั้งค็อกซ์-1 ได้ดี เช่น อินโดเมทาซิน (indomethacin), ไพร็อกซิแคม (piroxicam), นาพร็อกเซน (naproxen) มีความเสี่ยงในการทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารได้มากกว่ายาที่เลือกยับยั้งค็อกซ์-2 หรือยาที่เจาะจงยับยั้งค็อกซ์-2 เช่น เซเลค็อกสิบ (celecoxib), เอทอริค็อกสิบ (etoricoxib)
ยาทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารได้อย่างไร?
ยาแก้ปวดในกลุ่มเอ็นเสดทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือ “โรคกระเพาะ” ได้ด้วยกลไกหลายอย่าง เช่น ทำให้เกิดการระคายเนื้อเยื่อบุผิว (epithelium) ในกระเพาะอาหารโดยตรง ทำอันตรายต่อชั้นเยื่อเมือก (mucosa) ผ่านการชักนำให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระ ทำให้หลอดเลือดขนาดเล็กที่ชั้นเยื่อเมือกเสียหาย เกิดการรั่วของเม็ดเลือดขาวและสารอื่น ส่งผลให้เกิดการขัดขวางการไหลเวียนเลือดบริเวณนั้นและเกิดแผลเรื้อรังได้ แต่กลไกที่สำคัญเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ชนิดค็อกซ์-1 จึงยับยั้งการสร้างสารพรอสตาแกลนดินที่กระเพาะอาหาร ซึ่งที่กระเพาะอาหารนี้สารพรอสตาแกลนดินมีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรด ยับยั้งการหลั่งแกสตริน (gastrin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งกรด และยังกระตุ้นการหลั่งไบคาร์บอเนตและเมือก (สิ่งเหล่านี้ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร) ดังนั้นสารพรอสตาแกลนดินจึงมีบทบาทในการช่วยปกป้องผนังกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ยังช่วยให้เกล็ดเลือดเกาะกลุ่ม ทำให้เลือดที่ไหลออกมากลายเป็นลิ่มเลือดและหยุดไหล ด้วยเหตุนี้การใช้ยาในกลุ่มเอ็นเสดซึ่งยับยั้งการสร้างพรอสตาแกลนดินจึงขาดสิ่งที่ช่วยลดการหลั่งกรดและสิ่งที่ช่วยปกป้องผนังกระเพาะอาหารดังกล่าว จึงเป็นเหตุชักนำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารได้
เปรียบเทียบความเสี่ยงของยาแก้ปวดในการทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร
ยาพาราเซตามอล ยาในกลุ่มโอปิออยด์และยาในกลุ่มเอ็นเสดที่เลือกออกฤทธิ์ยับยั้งหรือเจาะจงยับยั้งเอนไซม์ชนิดค็อกซ์-2 (ตัวอย่างยามีกล่าวข้างต้น) ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำในการทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือ “โรคกระเพาะ” ต่างจากยาในกลุ่มเอ็นเสดที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ชนิดค็อกซ์-1 ได้ดี มีการศึกษาเกี่ยวกับยาในกลุ่มเอ็ดเสดชนิดที่ใช้กันมาก ได้แก่ ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแน็ก นาพร็อกเซน ไพร็อกซิแคม และอินโดเมทาซิน ถึงโอกาสในการทำให้เกิดเลือดออกในทางเดินอาหารโดยเปรียบเทียบกับพาราเซตามอล (ดูรูปที่ 1) จากข้อมูลดังกล่าวถือได้ว่าพาราเซตามอลไม่ว่าจะใช้ในขนาดต่ำคือน้อยกว่า 2,000 มิลลิกรัม/วัน จนถึงใช้ในขนาดที่สูงกว่า 4,000 มิลลิกรัม/วัน มีโอกาสน้อยในการทำให้เกิดเลือดออกในทางเดินอาหาร เช่นเดียวกันกับไอบูโพรเฟนในขนาดน้อยกว่า 1,200 มิลลิกรัม/วัน แต่ถ้าใช้ไอบูโพรเฟนในขนาดสูงขึ้นมีโอกาสเกิดเลือดออกในทางเดินอาหารมากขึ้น ส่วนยาอื่นที่กล่าวข้างต้นแม้ใช้ในขนาดต่ำ กล่าวคือ ไดโคลฟีแน็กขนาดน้อยกว่า 75 มิลลิกรัม/วัน นาพร็อกเซนขนาดน้อยกว่า 500 มิลลิกรัม/วัน อินโดเมทาซินขนาดไม่เกิน 50 มิลลิกรัม/วัน และไพร็อกซิแคมขนาดไม่เกิน 10 มิลลิกรัม/วัน ล้วนมีโอกาสทำให้เกิดเลือดออกในทางเดินอาหารสูงกว่าพาราเซตามอล โดยโอกาสเพิ่มขึ้นตามขนาดยาที่ใช้มากขึ้น และในบรรดายาที่กล่าวมาดังในรูปจะเห็นได้ว่าไพร็อกซิแคมในขนาดที่เกินกว่า 20 มิลลิกรัม/วัน มีโอกาสมากที่สุดในการทำให้เกิดเลือดออกในทางเดินอาหาร
ปัจจัยส่งเสริมการเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารจากยา
มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งเสริมการเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือ “โรคกระเพาะ” อันเนื่องจากการใช้ยาในกลุ่มเอ็นเสด (ดูรูปที่ 2) ดังกล่าวข้างล่างนี้
ข้อแนะนำในการใช้ยาเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร
เพื่อลดความเสี่ยงของยาแก้ปวดในการทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือ “โรคกระเพาะ” มีข้อแนะนำในการใช้ยาดังนี้
เลือดจาง โลหิตจาง กับยาฉีดอีพีโอ (EPO) 6 วินาทีที่แล้ว | |
ยาเลื่อนประจำเดือน .. ที่นี่มีคำตอบ 26 วินาทีที่แล้ว | |
รูปแบบยา...มีกี่แบบ...ใช้อย่างไร 1 นาทีที่แล้ว | |
โรคไหลตายในทารก!! ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม 1 นาทีที่แล้ว | |
หญ้าหวาน...หวานทางเลือก...เพื่อสุขภาพ 1 นาทีที่แล้ว | |
ยาในน้ำนมแม่ ตอนที่ 3 : ยาแก้ปวด-ลดไข้และยาแก้ข้ออักเสบ 1 นาทีที่แล้ว | |
การฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซี (UVC) 1 นาทีที่แล้ว | |
ยาแก้ปวดประจำเดือน...ใช้อย่างไร 2 นาทีที่แล้ว | |
ยาเม็ดโปแทสเซียมไอโอไดด์ ( ไอโอดีนเม็ด ) (KI) ป้องกันสารกัมมันตรังสี ไอโอดีน 131 2 นาทีที่แล้ว | |
ไกลห่างโรคภัยด้วยโยคะ 2 นาทีที่แล้ว |
|
HTML5 Bootstrap Font Awesome