การฝากไข่หรือการแช่แข็งไข่ (Egg freezing or Oocyte Cryopreservation) คืออะไร
การฝากไข่หรือการแช่แข็งไข่ คือ กระบวนการนำเซลล์ไข่ที่สมบูรณ์ของผู้หญิงออกมาเก็บรักษานอกร่างกายที่อุณหภูมิเย็นจัด (ต่ำกว่า -196 องศาเซลเซียส) เพื่อคงสภาพเซลล์ไข่ไว้สำหรับการวางแผนมีบุตรในอนาคต โดยปกติการฝากไข่สามารถทำได้ทุกช่วงอายุ แต่เนื่องจากคุณภาพและจำนวนเซลล์ไข่ของผู้หญิงจะลดลงตามอายุที่มากขึ้น ดังนั้นช่วงอายุที่แนะนำให้ฝากไข่คือ 25-35 ปี เพราะเป็นช่วงอายุที่ยังสามารถผลิตจำนวนไข่ที่มีคุณภาพสูงได้ ทั้งนี้ยังขึ้นกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลอีกด้วย จำนวนไข่ที่แนะนำให้แช่แข็งโดยเฉลี่ย คือ 15-20 ใบ
การฝากไข่เหมาะกับใคร
- ผู้ที่วางแผนมีบุตรในอนาคตหรือวางแผนมีบุตรหลังอายุ 35 ปี
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของรังไข่ เช่น ถุงน้ำรังไข่ เนื้องอกรังไข่
- ผู้ที่มีความเสี่ยงหมดประจำเดือนเร็ว
- ผู้ป่วยโรคที่ทำให้ระบบสืบพันธุ์เสื่อม เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเองหรือเอสแอลอี
- ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาที่มีผลต่อเซลล์สืบพันธุ์ เช่น การฉายรังสี ยาเคมีบำบัด
ขั้นตอนของการฝากไข่มีอะไรบ้าง
1. การตรวจร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อม
โดยปกติจำเป็นต้องตรวจเลือดเพื่อดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ระดับฮอร์โมนที่บ่งบอกการทำงานของรังไข่ เช่น Estradiol (E2), Luteinizing Hormone (LH), Follicle Stimulating Hormone (FSH) และฮอร์โมนที่บ่งบอกปริมาณสำรองของไข่ที่เหลืออยู่ในรังไข่ (Anti-Mullerian Hormones; AMH) ตรวจหาโรคติดเชื้อ เช่น โรคไวรัสตับอักเสบบีและซี ซิฟิลิส โรคเอดส์ ตรวจหาโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย และตรวจอัลตราซาวด์รังไข่
2. การกระตุ้นรังไข่
หลังจากที่ตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะวางแผนกระตุ้นรังไข่โดย ใช้ยาดังต่อไปนี้
- ยาสำหรับกระตุ้นให้ไข่เจริญเติบโตหลายๆ ใบพร้อมกัน ยาสำหรับกระตุ้นไข่ที่ใช้ คือ ฮอร์โมน Gonadotropins ซึ่งอาจจะเป็น FSH เดี่ยวๆ หรือยาที่เป็นสูตรผสมระหว่าง FSH และ LH ซึ่งปริมาณและตัวยาที่จะได้รับแพทย์จะพิจารณาจากอายุและผลฮอร์โมนของคนไข้แต่ละราย โดยจะเริ่มให้ยานี้ในวันที่ 2 หรือ 3 ของการมีประจำเดือน
- ยาสำหรับป้องกันไข่ตก ในระหว่างที่ให้ยาสำหรับกระตุ้นไข่ แพทย์จะคอยติดตามขนาดของไข่ และเมื่อกระตุ้นไข่ไปแล้วประมาณ 5 วัน แพทย์จะยาในกลุ่ม GnRH antagonist ร่วมด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ไข่ตกก่อนที่จะถึงวันเก็บไข่
- ยาสำหรับกระตุ้นให้ไข่ตกพร้อมสำหรับการเก็บ เมื่อไข่ทั้งหมดโตได้ขนาดที่เหมาะสมตามต้องการ แพทย์จะให้ยากระตุ้นเพื่อให้ไข่ตกพร้อมสำหรับการเก็บ โดยจะต้องฉีด 1 ครั้งก่อนกำหนดเวลาที่จะเก็บไข่ 35-36 ชั่วโมง ตัวอย่างยาที่นิยมใช้ คือ human chorionic gonadotropin และ Triptorelin โดยสรุประยะเวลาตั้งแต่เริ่มฉีดยากระตุ้นไข่เข็มแรกไปจนถึงขั้นตอนการเก็บไข่เพื่อนำไปแช่แข็งจะใช้เวลาประมาณ 12-14 วัน
- การเก็บไข่ แพทย์จะอัลตราซาวด์รังไข่เพื่อตรวจดูความพร้อมและตำแหน่งที่ไข่จะตก จากนั้นจะดูดเก็บไข่โดยใช้เข็มขนาดเล็กสอดเข้าไปทางช่องคลอดและดูดไข่ออกมาจากรังไข่ ซึ่งในขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 20 -30 นาที ตลอดกระบวนการนี้แพทย์จะให้ยาสลบแก่คนไข้ ดังนั้นคนไข้จะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดในระหว่างการเก็บไข่ และหลังจากเก็บไข่เสร็จคนไข้ควรนอนพักเพื่อสังเกตอาการต่ออีก 1-2 ชั่วโมง
- การแช่แข็งและเก็บรักษาไข่ หลังจากเก็บไข่เรียบร้อยแล้ว ไข่จะถูกแช่แข็งด้วยเทคนิคการแช่แข็งแบบผลึกแก้ว (Vitrification) ซึ่งเป็นกระบวนการลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงย้ายไปเก็บรักษาในไนโตรเจนเหลวอุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส โดยไข่ยังคงคุณภาพเหมือนเดิม
ยาที่ควรระวังหรือหลีกเลี่ยงในระหว่างขั้นตอนการกระตุ้นไข่
ในระหว่างขั้นตอนของการกระตุ้นไข่คนไข้จะได้ยาในกลุ่ม Gonadotropins และ GnRH antagonist เพื่อรักษาระดับฮอร์โมน FSH และ LH ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของไข่ให้พร้อมสำหรับการเก็บ ดังนั้นจึงควรระวังหรือหลีกเลี่ยงยาบางประเภทที่มีผลต่อระดับของฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้ ดังนี้
- ยาในกลุ่ม corticosteroids เช่น prednisolone และ dexamethasone ที่มักจะใช้ในการควบคุมการตอบสนองรังไข่ แต่การใช้ยาในกลุ่มนี้ในปริมาณมากหรือเป็นระยะเวลานานอาจทำให้ระดับฮอร์โมน FSH และ LH ลดลง ส่งผลกระทบต่อกระบวนการฝากไข่ได้
- ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) และ/หรือโปรเจสเตอโรน (progesterone) เนื่องจากระดับเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ระดับและการทำงานของฮอร์โมน FSH และ LH ลดลง
- ยาในกลุ่ม antipsychotics เช่น risperidone และ haloperidol ยาในกลุ่มนี้สามารถส่งผลให้ระดับโปรแลคติน (prolactin) ในเลือดเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมน FSH และ LH ลดลง ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของไข่ได้
- ยาในกลุ่ม dopamine agonists เช่น bromocriptine และ cabergoline ยาในกลุ่มนี้สามารถส่งผลให้ระดับโปรแลคติน (prolactin) ในเลือดเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมน FSH และ LH ลดลง ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของไข่ได้
ดังนั้นหากคนไข้มีความจำเป็นที่จะต้องรับประทานยาใดๆ ในระหว่างกระบวนการการฝากไข่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อประเมินความเหมาะสมและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และหากมีความจำเป็นต้องใช้ยา ควรใช้ในปริมาณและระยะเวลาที่แพทย์แนะนำเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
การฝากไข่มีความเสี่ยงหรือไม่
การใช้ฮอร์โมนระหว่างการกระตุ้นไข่ อาจทำให้เกิดภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นเกิน (Ovarian hyperstimulation syndrome : OHSS) ผลที่ตามมาทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ท้องอืด ปวดท้อง คลื่นไส้ ปวดศีรษะ เป็นต้น และในขั้นตอนการเก็บไข่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ดูดไข่ออกมาอาจทำให้เกิดเลือดออก ส่งผลให้มีอาการปวดท้องน้อยประมาณ 1-2 วัน หรือมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อในช่องท้องได้
Image by prostooleh on Freepik