"ไม่ควรรับประทานยานี้พร้อมนม" เป็นคำเตือนที่พบบนฉลากของยาหลายชนิด เนื่องจากนม (milk) และรวมไปถึงผลิตภัณฑ์นม (dairy product) เช่น เนย ชีส โยเกิร์ต มีปริมาณของแคลเซียมสูงจนมีโอกาสที่แคลเซียมเหล่านั้นจะเกิดปฏิกิริยากับยาที่รับประทานเข้าไป โดยการเกิดปฏิกิริยาระหว่างแคลเซียมและยามักส่งผลให้ยาหมดฤทธิ์และทำให้ประสิทธิผลของยาหมดไป จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาเหล่านี้พร้อมกับดื่มนมหรือบริโภคผลิตภัณฑ์นม ตัวอย่างยาสำคัญที่ใช้บ่อยและไม่ควรรับประทานพร้อมนม ได้แก่
สำหรับแนวทางการรับประทานยาเหล่านี้เพื่อให้เกิดประสิทธิผลของยาสูงที่สุด มีรายละเอียดดังนี้
- ควรรับประทานยาพร้อมน้ำเปล่าเสมอ น้ำเปล่าทำให้ตัวยาแตกตัว ละลายและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีที่สุด เนื่องจากน้ำเปล่าไม่มีปริมาณของแร่ธาตุหรือสารอาหารใดสูงจนเกิดปฏิกิริยากับยาและลดประสิทธิผลของยาได้ ดังนั้นแม้ในกรณีที่ไม่ทราบว่ายาสามารถรับประทานพร้อมนมหรือไม่ การรับประทานยานั้นพร้อมน้ำเปล่าก็ไม่ทำให้เกิดปัญหาใดๆ
- นมแม่ นมจากสัตว์ นมจากพืช เกิดปฏิกิริยากับยาได้เหมือนกัน นมในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงนมวัวเท่านั้น นมแม่ รวมไปถึงนมที่ได้จากสัตว์และพืช เช่น นมแกะ นมแพะ นมควาย นมถั่วเหลือง นมข้าวโพด นมอัลมอนด์ เป็นต้น ทั้งในรูปของผลิตภัณฑ์นมผง UHT, sterilized หรือ pasteurized ล้วนแต่มีแคลเซียมและอาจเกิดปฏิกิริยากับยาเหล่านี้ จึงควรหลีกเลี่ยงเช่นเดียวกัน
- หากจะดื่มนมหรือบริโภคผลิตภัณฑ์นม ควรรับประทานห่างจากยา 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้ยาและแคลเซียมในนมเกิดปฏิกิริยากันในกระเพาะอาหารหรือที่ลำไส้เล็ก เวลา 2 ชั่วโมงก่อนและหลังรับประทานยา จึงมากเพียงพอที่จะทำให้นมและยาไม่เคลื่อนที่ไปพบกันในระบบทางเดินอาหาร
- หากต้องผสมยา ควรผสมกับน้ำเปล่า น้ำหวานหรือน้ำผลไม้ เด็กหรือผู้ที่มีปัญหาในการกลืนอาจจำเป็นต้องผสมยาเพื่อช่วยให้กลืนยาได้ง่ายขึ้น โดยแนะนำให้ผสมยากับน้ำเปล่า น้ำหวานหรือน้ำผลไม้แล้วรับประทานยาที่ผสมนั้นให้หมดเพื่อให้ได้ปริมาณยาครบถ้วน และไม่ลืมที่จะรับประทานยาที่ผสมนั้นให้ห่างจากนมประมาณ 2 ชั่วโมง
- ปรึกษาเภสัชกรหากมีข้อสงสัยแน่นอนว่าการรับประทานยาพร้อมน้ำเปล่าเป็นวิธีที่ง่ายและดีที่สุด แต่หากมีความจำเป็นต้องรับประทานยาบางชนิดพร้อมนมด้วยเหตุจำเป็นใดๆ เภสัชกรอาจให้คำแนะนำและการแก้ปัญหาสำหรับการรับประทานยานั้นให้เหมาะกับสถานการณ์ได้มากที่สุด