Eng |
นศภ. ฐานิตา แสงเขียว นักศึกษาฝึกปฏิบัติงานคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
โรคติดเชื้อในเด็กพบได้ทั้งการติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยในชุมชนมีโอกาสการเกิดขึ้นเฉลี่ย 6-8 ครั้งต่อปี1 เมื่อมีการติดเชื้อแบคทีเรีย ยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เป็นยาทางเลือกแรกที่จ่ายให้กับผู้ป่วยเด็ก ซึ่งมักจะได้รับยาฆ่าเชื้อในรูปแบบผงแห้งที่ต้องผสมกับน้ำก่อนให้ยา2 ดังนั้นวิธีการ ผสมและการเก็บรักษายาปฏิชีวนะจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ดูแลผู้ป่วยควรทราบก่อนใช้ยา
ภาพจาก : http://www.petmd.com/cat/conditions/eyes/c_ct_ophthalmia_neonatorium
ข้อปฏิบัติทั่วไปในการผสมยาปฏิชีวนะชนิดผงแห้งแบบรับประทาน3
อย่างไรก็ตามยังมียาปฏิชีวนะชนิดผงแห้งสำหรับประทานบางชนิดที่มีวิธีการผสมยาไม่เป็นไปตามขั้นตอนข้างต้น คือ ไม่มีขีดกำหนดบอกปริมาตรบนขวดยา แต่กำหนดปริมาตรน้ำที่จะเติมลงไปในขวดยา ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ซิโทรแม็กซ์ (Zithromax®) ประกอบด้วยตัวยา อะซิโทรมัยซิน (azithromycin) เป็นยาปฏิชีวนะชนิดผงสำหรับผสมเป็นยาน้ำแขวนตะกอน ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมีวิธีการผสมเป็นยาน้ำแขวนตะกอนสำหรับรับประทานดังนี้4
ออมนิเซฟ (Omnicef®) ประกอบด้วยตัวยา เซฟดิเนียร์ (cefdinir) เป็นยาปฏิชีวนะชนิดผงสำหรับผสมเป็นยาน้ำแขวนตะกอน ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมีวิธีการผสมเป็นยาน้ำแขวนตะกอนสำหรับรับประทานดังนี้5
นอกจากวิธีการผสมยาที่ผู้ดูแลควรทราบเพื่อผสมยาน้ำแขวนตะกอนให้ได้ความเข้มข้นที่เหมาะสมตามที่บริษัทระบุแล้ว การเก็บรักษายาหลังผสมและวันสิ้นสุดการใช้ ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ดูแลให้ความสำคัญเช่นกันเพื่อเป็นหลักประกันว่าผู้ป่วยได้รับประทานยาที่มีความคงตัวและออกฤทธิ์ได้ดังเดิมเพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ