อ่านแล้ว 5,674 ครั้ง
ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2554
เภสัชกร ธีระพงษ์ มนต์มธุรพจน์ นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาเภสัชกรรมคลินิก หลักสูตรนานาชาติ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับรางวัลชนะเลิศผลงานการนำเสนอแบบปากเปล่า (oral presentation) ในการประชุมใหญ่วิชาการประจำปี 2554 ครั้งที่ 37 ของสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย (Infectious Disease Association of Thailand (IDAT) ในหัวข้อการวิจัยเรื่อง “A prospective, randomized, double dummy, placebo-controlled trial of oral cefditoren pivoxil 400 mg once daily as switch therapy after intravenous ceftriaxone in acute pyelonephritis: An interim analysis” โดยมีที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์คือ ผศ.ดร.ปรีชา มนทกานติกุล, รศ.นพ.ภิรุญ มุตสิกพันธุ์ และ ผศ.ดร.ปราโมทย์ ตระกูลเพียรกิจ นอกจากนั้นผลงานวิจัยของ ภก.ธีระพงษ์ ยังได้รับการตีพิมพ์ในรูปแบบบทคัดย่อลงในวารสาร Journal of Infectious Diseases and Antimicrobial Agents ปี พศ. 2554 ฉบับที่ 28(3) หน้า 231-232 ด้วย
การจัดประชุมวิชาการดังกล่าว จัดภายใต้หัวข้อ “Infectious Diseases in the Changing Environment” ระหว่างวันที่ 13 - 16 ตุลาคม 2554 ณ โรงแรม The Zign จังหวัดชลบุรี การนำเสนอผลงานวิจัยในครั้งนี้มีผลงานที่เข้าร่วมนำเสนอมากมายซึ่งประกอบด้วยแพทย์ เภสัชกร นักจุลชีววิทยาและนักวิจัยทั้งจากหน่วยงานของโรงพยาบาลและมหาวิทยาลัย จำนวนผลงานที่เข้าร่วมนำเสนอแบบปากเปล่าที่ผ่านการกลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสิ้นประมาณ 50 เรื่อง
ภก.ธีระพงษ์ ได้กล่าวถึงประเด็นและความสำคัญของงานวิจัยในครั้งนี้ว่า ปัจจุบันพบเชื้อในกลุ่ม Enterobacteriaceae เช่น E. coli ที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ มีอุบัติการณ์ของการดื้อยาในกลุ่มควิโนโลนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากรายงานของศูนย์เฝ้าระวังเชื้อดื้อยาแห่งประเทศไทยในปี 2554 พบว่าเชื้อ E. coli ดื้อยา ofloxacin สูงขึ้น 57% การวิจัยในครั้งนี้จึงพยายามที่จะหายาในกลุ่มอื่นๆที่จะสามารถนำมาใช้ทดแทนยาในกลุ่มนี้ ยาเซพดิทอเรน ปิโวซิลเป็นยาที่ใหม่ที่สุดในกลุ่ม oral third generation cephalosporin มีข้อบ่งใช้สำหรับการรักษาการติดเชื้อในระทางเดินหายใจส่วนต้นและการติดเชื้อที่ผิวหนังแบบไม่ซับซ้อนเท่านั้น จากคุณสมบัติทางเภสัชจลนศาสตร์พบว่ายานี้มีการกำจัดออกทางไตในรูปที่ไม่เปลี่ยนแปลงสูงถึง 30% รวมทั้งมีงานวิจัยที่ทำในหลอดทดลองพบว่ายานี้มีฤทธิ์ต้านเชื้อในกลุ่ม Enterobacteriaceae เช่น E. coli ได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามการใช้ยาเซพดิทอเรน ปิโวซิล ในการรักษาโรคกรวยไตอักเสบเฉียบพลันซึ่งมีความรุนแรงสูงกว่าการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะชนิดอื่นยังไม่เคยมีรายงานการทดลองทางคลินิก (RCT) มาก่อน จากเหตุผลดังกล่าว ภก.ธีระพงษ์ จึงมีความประสงค์ที่จะศึกษาทดลองทางคลินิกเพื่อศึกษาถึงความเป็นไปได้ที่จะนำยานี้ไปใช้ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่เป็น Quinolone-resistant strains หรือการใช้ยาเซพดิทอเรน ปิโวซิลในฐานะที่เป็น Quinolone-sparing agent
การศึกษาวิจัยครั้งนี้จึงถือเป็นงานวิจัยชิ้นแรกซึ่งเป็นการทดลองทางคลินิกแบบสุ่มของยาเซพดิทอเรน ปิโวซิลในการรักษาผู้ป่วยโรคกรวยไตอักเสบแบบเฉียบพลัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลอัตราการตอบสนองทางคลินิกและการตอบสนองต่อการกำจัดเชื้อแบคทีเรียก่อโรคของการใช้ยาฉีดเซพไตรเอโซนแบบต่อเนื่องเทียบกับการเปลี่ยนจากยาฉีดเซพไตรเอโซนเป็นยาเซพดิทอเรน ปิโวซิลชนิดรับประทานในการรักษาโรคกรวยไตอักเสบแบบเฉียบพลันโดยแบ่งการศึกษาออกเป็นทั้งหมดเป็นสองกลุ่ม ซึ่งทั้งสองกลุ่มได้รับการรักษาเบื้องต้นด้วยยาฉีดเซพไตรเอโซนขนาด 2 กรัมหยดเข้าทางหลอดเลือดดำวันละ 1 ครั้ง สำหรับผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การคัดเลือกรวมทั้งเข้าเกณฑ์ของการเปลี่ยนรูปแบบยาปฏิชีวนะจากชนิดฉีดเป็นชนิดรับประทานแล้วจะถูกสุ่มการรักษาดังนี้ กลุ่มควบคุมให้ยาหลอกชนิดเม็ดโดยรับประทานครั้งละ 4 เม็ดวันละ 1 ครั้งพร้อมอาหารควบคู่กับการฉีดยาเซพไตรเอโซนในขนาดเดิม กลุ่มทดลองให้ยาเซพดิทอเรน ปิโวซิลขนาดเม็ดละ 100 มิลลิกรัมโดยรับประทานครั้งละ 4 เม็ดวันละ 1 ครั้งพร้อมอาหารควบคู่กับยาหลอกชนิดฉีดหยดเข้าทางหลอดเลือดดำวันละ 1 ครั้ง ทำการศึกษาเป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 10 วัน
ผลการศึกษาวิจัยของ ภก.ธีระพงษ์ พบว่าการใช้ยาฉีดเซพไตรเอโซนตามด้วยการให้ยาเซพดิทอเรน ปิโวซิลชนิดรับประทานขนาด 400 มิลลิกรัมต่อวันทดแทนภายหลังจากอาสาสมัครมีอาการของโรคกรวยไตอักเสบแบบเฉียบพลันดีขึ้น มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการให้ยาฉีดเซพไตรเอโซนแบบต่อเนื่องกันจนครบสิบวัน ดังนั้นยาปฏิชีวนะเซพดิทอเรน ปิโวซิลจึงน่าจะสามารถใช้เป็น switch therapy antibiotic ในการรักษาโรคกรวยไตอักเสบแบบเฉียบพลันได้
Photo Gallery