การสูบบุหรี่เพิ่มการทำงานของยาclopidogrel ในผู้ป่วยเบาหวาน

Dr. Dominick J. Angiolillo จาก University of Florida College of Medicine ได้ทำการศึกษาผลของการสูบบุหรี่ต่อการเกิด platelet reactivity ที่สูงขึ้นในระหว่างการรักษา (high on-treatment platelet reactivity; HPR) ในผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่2 ที่ใช้ยา clopidogrel โดยระดับ cotinine ซึ่งเป็นmetabolites ตัวหนึ่งของ nicotineในเลือดเป็นตัวบ่งชี้ถึงปริมาณการสูบบุหรี่ จากการศึกษาก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่า การสูบบุหรี่จะเหนี่ยวนำการทำงานของเอนไซม์ CYP 1A2 ซึ่งเป็นเอนไซม์ขั้นต้น ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนclopidogrel ให้อยู่ในรูปออกฤทธิ์ได้ ในขณะที่การทำงานของเอ็นไซม์นี้ มักจะลดลงในผู้ป่วยเบาหวาน การศึกษาทำในผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 จำนวน134 ราย ที่ใช้ยาclopidogrel เพื่อแก้ไขปัญหา coronary artery disease อยู่ ทำการแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม แล้ววัดระดับ cotinine โดยเฉลี่ย เป็น (1) ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 85 ราย มี cotinine เฉลี่ย <3 ng/ml (2) ผู้ที่สูบบุหรี่เล็กน้อย 27 ราย มี cotinine เฉลี่ย 3 ถึง 199 ng/ml และ (3) ผู้ที่สูบบุหรี่มาก 22 ราย มี cotinine เฉลี่ย มากกว่า 200 ng/ml ผลการศึกษาพบว่า ระดับ cotinine สัมพันธ์แบบกับ platelet reactivity ที่ลดลง เมื่อใช้วิธีทดสอบหลายวิธี นั่นคือ จะมีการเกิด HPR ที่ต่ำ และ ยังเหนี่ยวนำผล antiplatelet ของยา clopidogrel ให้เพิ่มขึ้น เมื่อทำการวิเคราะห์ด้วย multivariable logistic regression พบว่า กลุ่มที่สูบบุหรี่น้อยและมากจะมีโอกาสเกิด HPR น้อยกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ร้อยละ76และ 90 ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตาม แม้การศึกษานี้จะสนับสนุนว่าการสูบบุหรี่มีผลเพิ่มฤทธิ์ของ clopidogrel และลดความเสี่ยงของการเกิด HPR แต่จากสถิติปัจจุบันอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดแข็งตัวรวมถึงอัตราการเสียชีวิต ในผู้ป่วยที่สูบบุหรี่ก็ยังสูงอยู่ โดยไม่ขึ้นกับชนิดของยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่ใช้ในการรักษาอยู่